11.25.2007

สิ่งที่เป็น และสิ่งที่อยากจะเป็น

เคยไหม ที่รู้สึกว่านิสัยของตัวเอง ขัดกับสิ่งที่คิดอยากทำ
นัยว่าตัวตนของเราไม่เอื้อต่อสิ่งที่เราอยากจะทำ
ที่ๆอยากจะไป หรือสิ่งที่อยากจะเป็นในอนาคต
งานในฝันของเรา นอกเหนือจากการแปลหนัง/หนังสือ
ก็คืองานที่ต้องเดินทางไปที่ต่างๆรอบโลก
(ยังตอบไม่ได้ว่างานอะไร แต่ต้องเดินทางบ่อยๆละกัน)
เพราะเราอยากเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ พบเจอผู้คนต่างชาติต่างภาษา
ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ชีวิตน่าตื่นเต้น
มีสีสัน มีแต่เรื่องใหม่ๆเข้ามาไม่รู้จบ
คำว่าเบื่อ หรือน่าเบื่อ ไม่มีในพจนานุกรมของเรา

แต่

เราก็รู้นิสัยเราเองดี เราค่อนข้างติดบ้าน ขี้อาย พูดไม่เก่ง
ยิ่งเวลาทำความรู้จักกับคนที่เพิ่งพบกัน เราจะวางตัวไม่ถูก
ที่แย่ก็คือ เราอยากจะไปเห็นโลกกว้าง เปิดหูเปิดตา
แต่เราไม่ชอบขึ้นเครื่องบิน ขึ้นทีไรเมาเครื่องตลอด - -
นั่งรถ ลงเรือ ก็ไม่ต่างกัน ดีที่ไม่เมา BTS กับ MRT

ตัวตนของเราช่างขัดแย้งกับตัวเราในความฝันเหลือเกิน
แต่เราว่า ความขัดแย้งกันนี้อาจจะเป็นแรงผลักดันอยู่ลึกๆก็ได้
หรือไม่ สิ่งที่เราอยากเป็นต่างหาก คือตัวตนแท้จริงของเราเอง

11.11.2007

ฟิ้วฝัน

Hop in the car
Go with me
You don't have to pack anything
Don't you wanna feel the breeze
And forget everything,
Baby?
(Justin Timberlake: Let's Take a Ride)

Yes, I do, baby.
(Panitan: singing as a response to Justin's question)

ฟังเพลงนี้แล้วชอบจินตนาการนึกฝัน ว่ากำลังนั่งอยู่ในรถเปิดประทุนสีดำ รุ่นโบราณๆหน่อย
มีจัสตินขับรถอยู่ข้างๆ (ย้ำอีกทีว่าฝัน) yeah baby!
ผมเผ้าปลิวไปกับสายลม ใส่แว่นกันแดดอันใหญ่ๆ รถแล่นไปไม่มีจุดหมาย
แล้วก็เปิดเพลงนี้ ร้องตามไปด้วย ร้องให้สุดเสียง
(จัสตินข้างๆก็ร้องด้วยในฐานะเจ้าของเพลง)
คงจะมีความสุขน่าดู :D
อันที่จริงจะทำยังงั้นก็ทำได้ แต่ต้องลดสเปคลงมาหน่อย
ไม่มีรถเปิดประทุน ไม่มีจัสติน นอกนั้นสามารถจัดหาได้ตามอัตภาพ
บางทีเบื่อๆก็นึกอยากเก็บเสื้อผ้าแล้วออกเดินทางไปคนเดียว
ไปไหนก็ได้ให้ไกลจากชีวิตในเมือง ขึ้นเหนือลงใต้้ซ้ายขวาหน้าหลัง
แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้หรอก เป็นคนชอบวางแผนล่วงหน้า
ไปแบบไม่จองโรงแรม/ที่พักคงไม่ไหว (เรื่องมากนี่เอง)

จบโดยฉับพลันทันที
(จัสตินเรียกน่ะ)

ป.ล.อย่าถือสาชั้นเลย ชั้นชอบจัสตินจริงๆ

11.01.2007

Ppl have GOT to see THIS!

Drew looks at me.
I fake a smile so he won't see
That I want and I'm needing
Everything that we should be.
I'll bet she's beautiful,
That girl he talks about.
And she's got everything
That I have to live without.

Drew talks to me.
I laugh 'cause it's so damn funny
That I can't even see
Anyone when he's with me.
He says he's so in love.
He's finally got it right.
I wonder if he knows
He's all I think about at night.

He's the reason
For the teardrops on my guitar.
The only one that keeps me wishing
On a wishing star.
He's the song in the car I keep singing.
Don't know why I do.

Drew walks by me.
Can he tell that I can't breathe?
And there he goes so perfectly,
The kind of flawless I wish I could be.
She'd better hold him tight,
Give him all her love,
Look in those beautiful eyes
And knows she's lucky 'cause...

He's the reason
For the teardrops on my guitar.
The only one that keeps me wishing
On a wishing star.
He's the song in the car I keep singing.
Don't know why I do.

So I'll drive home alone
As I turn out the light.
I'll put his picture down
And maybe get some sleep tonight.

He's the reason
For the teardrops on my guitar,
The only one who's got enough of me
To break my heart.
He's the song in the car I keep singing.
Don't know why I do.

He's the time taken up,
But it's never enough.
And he's all that I need
To fall into.

Drew looks at me.
I fake a smile so he won't see.

Song: Teardrops on My Guitar
Artist: Taylor Swift
Link: http://www.youtube.com/watch?v=R7DRtl6CTqc

10.28.2007

จบแล้วปิดเทอม

พรุ่งนี้ปิดเทอมวันสุดท้าย
น่าแปลกที่ 29 ตุลาคม มาถึงเร็วเหลือเกิน
และแปลก การอยู่ว่างๆ ไม่ต้องไปเรียน ไม่มีการบ้าน ไม่ต้องอ่านหนังสือ
ไม่ต้องรีบเร่ง ไม่ต้องขวนขวาย
ทำให้เราเบื่อแสนเบื่อ ทั้งที่เราควรจะเพลิดเพลินในการนอนอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร
ก็ยังเบื่อ เพราะ "ไม่มีอะไรทำ"
แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่า พอเปิดเทอมแล้ว เราจะ "มีอะไรทำ" มากมายก่ายกอง
ทั้งที่ไม่ได้อยากจะทำซักเท่าไหร่
ในที่สุดก็ชีวิตก็จะกลับเข้าสู่วงจรเดิมๆ ชีวิตรีบเร่ง เต็มไปด้วยการแข่งขัน
และไม่นานนัก เราก็จะเบื่อแสนเบื่ออีกครั้ง อยากมีเวลาว่างๆ อยู่เฉยๆ
อยาก"ไม่มีอะไรทำ" อีก
เป็นวงจรอุบาทว์อย่างนี้เรื่อยไป
แต่จงดีใจเถิดที่ยังมีไอ้วงจรบ้าๆนี่อยู่ในชีวิต
อีกไม่นานหน้าที่หลักของเราๆก็จะไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนแล้ว
ดีใจซะ ที่ยังมีเปิดเทอม ให้ชีวิตตื่นเต้นมีสีสัน เครียดเล็กน้อยพองาม
ดีใจซะ ที่ยังมีปิดเทอม ให้ได้ัพักหายใจหายคอ ทำตัวมีสาระบ้างไร้สาระบ้างไปวันๆ

ปิดเทอมนี้ไม่ได้ทำอะไรที่เกิดประโยชน์
กิน นอน เล่นเกม ดูทีวี เล่นเอ็ม เล่นเฟซบุค
แต่อบอุ่นใจจริงๆที่ได้อยู่บ้าน เห็นหน้าพ่อแม่ทุกวัน
กินกับข้าวฝีมือแม่ ได้เจอเพื่อนเก่า
ไม่ได้ไปทะเลก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ทำตามแผนที่วางไว้ก็ไม่เป็นไร
จบแล้วปิดเทอมของเรา
สวัสดีเทอมใหม่...

10.17.2007

เรื่องเก่าเก่า

ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยการพบและการจากลา
ในช่วงชีวิต เราได้เจอผู้คนหน้าใหม่อยู่ตลอด และต้องแยกย้ายกันไปตามวันเวลา
วันจันทร์เราไปงานเลี้ยงส่งอาจารย์
มีคนหายไปจากชีวิตประจำวันของเราอีกคนนึงแล้ว
วันนี้เราได้เจอเพื่อนเก่าสมัยม.ต้น
หลายปีผ่านไปเรายังคุยกันเหมือนวันที่อยู่ห้อง3/1
ถึงต่างคนต่างโตขึ้น เปลี่ยนทรงผม เปลี่ยนแฟน เปลี่ยนที่เรียน
แต่ลึกๆ ก็ยังสัมผัสได้อยู่ว่าพวกเราในตอนนั้นไม่ต่างจากตอนนี้เลย
ได้พูดคุยกันถึงเรื่องเก่าๆมากมาย และดูเหมือนว่าจะขุดเรื่องมาคุยได้ไม่จบสิ้น

เคยซ้อนจักรยานเพื่อนคนนึง เค้าพาเราล้ม อีกนิดเดียวก็จะกลิ้งตกน้ำกันแล้ว
แต่วันนี้ เราซ้อนมอไซเค้ากลับบ้าน โดยไม่เป็นอะไรเลย

ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เขียนไปนี่จะสื่ออะไร แต่รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

ดีใจที่เพื่อนเก่า ถึงจะขาดการติดต่อกันหลายปี
วันนี้ก็ยังเป็นเพื่อน

ป.ล.หลายเรื่องที่ขุดขึ้นมา ไร้สาระซะจนไม่น่าเชื่อ
ฟังแล้วรู้สึกว่าตอนนั้นโคตรจะเด็กเลยว่ะ

9.29.2007

life after death

สอบเกือบเสร็จแล้ว เหลือ Writing ของ Italian ซึ่งก็ไม่มีอะไรต้องอ่านมากมาย
เกือบทุกวิชาที่สอบๆมาเรียกได้ว่าเหลวแหลกไม่มีชิ้นดี แบคบริตก็อย่างที่เขียนไปแล้ว
มิตโตก็แย่ นั่งสอบติดโต๊ะอาจารย์ เลยรู้สึกเหมือนมี The Furies ตามหลอนอยู่ตลอดเวลา
แปลอังกฤษ-ไทย ไทย-อังกฤษ ก็ประสบความล้มเหลวพอกัน
คอม อะไรล่ะน่ะ หืมมมมมมม กลัวตกกันทุกคนอ่ะว่าง่ายๆ วิชานี้หน่วยเดียว ไม่ีเกรด มีแค่ผ่าน/ไม่ผ่าน
ไม่ผ่าน ก็คือไม่จบ เข้าเรียนไม่ถึง5ครั้ง เหมือนเรียนปรัชญาคอมพิวเตอร์ อยากจะสาด อยากจะสาดดด
English Letter ก็พอไหวอยู่ เยอรมันก็ช่วยปลอบใจได้บ้าง เจนเอ็ดก็...ไม่รู้ว่ะ เหมือนอาจารย์แอบโหด

จากการที่เรียนหนักหักโหมมาทั้งเทอม พอว่างแล้วก็เลยรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีอะไรที่ต้องทำ
เหมือนมีหนังสือต้องอ่านอีก แต่จริงๆมันก็ไม่มี...

ปิดเทอมนี้อยาก/จะทำอะไรหลายอย่างเลย
-นอน กิน นอน ดูหนังที่แนนให้มาให้จบ กิน นอน
-ไปกลิ้งที่บ้านพี่ชายเพื่อดู UBC ให้สะใจ
-ไปทำเค้กบ้านแนน
-ไปทัลเลลลลลลลลลลลลลล
-เพื่อนจากม.บูจะมาหาอีก
-เพื่อนเดนมาร์กก็จะมาหาอีก
-ไปฟิตเนสกะแม่
-นัดเจอเพื่อนสาวสมัยม.ปลาย
-อยากไปเกะ
-และอีกมากมาย

ที่เขียนๆมาไม่ได้เข้ากะชื่อเรื่องที่ตั้งไว้เท่าไหร่ แค่จะสื่อชีวิตหลังการสอบ และการอดนอนมาตลอด 1 อาทิตย์ (ก็สมอยู่ แทนที่จะอ่านหนังสือ ดันเล่นเอ็มไปด้วย เจริญจริงๆคนเรา)

จบห้วนๆ

9.24.2007

Review: 2202266 BKGD BRIT LIT

ต้อนรับวันจันทร์ด้วยของดีจากเอกอิ๊ง ของเค้าดีจริงๆค่ะ
สอบบ่าย แต่ตื่นไปมหาลัยแต่เช้า ไปนั่งโรงอาหารคนเดียว นั่งบิ๊วอารมณ์เนิร์ด
บิ๊วไปบิ๊วมาเริ่มมีเพื่อนๆมาบิ๊วด้วย บิ๊วกันจนสับสน ช่วงเช้าในหัวมีแต่ชื่อยุคต่างๆ
ชื่อนักเขียน ชื่อผลงาน บ่อยมากที่สลับนักเขียน สลับยุค วุ่นวายไปหมด
ก็มั่นใจอยู่พอประมาณ ยังไงๆก็ไม่เอฟล่ะวะ
ก่อนเข้าห้องตื่นเต้นมาก เข้าไปกว่าจะตั้งสติได้ก็เสียเวลาไปแล้ว 15 นาทีถ้วน
ข้อสอบมี 10 ข้อ ให้เลือกทำ 5 ข้อ ใน 3 ชั่วโมง
ด้วยความกลัวทำข้อสอบไม่ทัน เลยไก่เขี่ยตั้งแต่ข้อแรก
จอร์จ ข้อสอบอะไรกันนี่ บอกไม่ได้เลยว่าทำได้หรือทำไม่ได้
ข้อที่รู้ก็เหมือนจะไม่รู้ ข้อที่ไม่รู้ก็เหมือนจะนึกออก แอร๊ยยยยย
มีข้อนึงแถไปเกือบสองหน้า 555+ ทำข้อสอบเสร็จประมาณบ่าย 3 กว่าๆ
แต่ยังไม่เห็นมีใครออก และยังไม่เห็นมีใครหยุดเขียน เรื่องอะไรจะออกง่ายๆ
ก็นั่งๆนอนๆ คิดอะไรไปเรื่อยๆ เผื่อจะมีอะไรปิ๊งขึ้นมาบ้าง มีนิดนึงแหละ
บ่าย3ครึ่งก็ออกมานั่งรอเพื่อน ทนไม่ไหว ยิ่งอยู่ยิ่งไม่มีอะไรเขียน ปวดเฮด

ออกมาแล้วโล่งหัวมาก โล่งมากกกกกกกกกกกกกกกกกก
พอกันทีกับ The Augustan, The Romanticism, The Gothic Novel, บลาๆๆๆๆ
แทบเอาหนังสือไปเผาทิ้งกันเลยทีเดียว

นั่งรถป๊อปไปสยามกะแนน แนนหิว เลยแวะกินดู๋ดี๋กันนิดนึง
ตองยังไม่สะใจ ชวนแนนไปเดินพารากอน ซื้อเบเกอรี่ติดไม้ติดมือมานิดนึง
(สั่งเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายด้วย โฮะๆๆๆ ดีใจทำไมเนี่ย)
ทำตัวเหมือนสอบเสร็จแล้วเลยอ่ะ 555+
ก็นะ ให้รางวัลตัวเองหน่อย

พรุ่งนี้สอบแปลEnglish-Thai ไม่ต้องอ่านมาก ไปตายเอาดาบหน้าอย่างเดียว
เลยมีเวลามาเ่ล่นเน็ทเพื่อความพึงพอใจเล็กๆน้อยๆก่อนจะไปลุย Mythology ต่อ!

โชคเอนะทุกคน ^^

9.20.2007

มาอัพไว้กันลืม

วันนี้เกิดอะไรหลายๆอย่างที่น่าจดจำ ไม่มีเวลาเขียนลงไดอารี่เป็นเล่มๆโดยตรง ก็เลยมาแปะไว้ในนี้ก่อน
เดี๋ยวจะลืมว่าไปพบเจออะไรมาบ้าง

ตอนเกือบตีหนึ่ง เพื่อนเก่าสมัยม.ปลายโทรมาหา บอกว่าจะมากรุงเทพ อยากเจอตอนเย็นพฤหัส
(ซึ่งเราไม่ว่าง มีสอบเยอรมัน) เลยบอกไปว่าคงไม่ได้ เสียดายมากกกก ไม่ได้เจอกันตั้งแต่เรียนจบม.6
ไอ้นี่ตอนอยู่โรงเรียนก็แอบป๊อปด้วยความเป็นนักบาสโรงเรียนขาวตี๋ล่ำ เรามักจะให้มันไปส่งขึ้นรถไฟบ่อยๆ เพราะไม่อยากเสียตังค่ารถตุ๊กๆ

ตัดฉากมาตอนเกือบเที่ยง เพิ่งสอบพูดอิตาเลียนมาหมาดๆ ว่างยาวถึง4โมงครึ่ง ก็เลยโทรหาเพื่อน มาเจอกันหน่อยเด๊ะ ก็เลยได้เจอกัน ไอ้นี่ เหมือนเดิมได้อีก ยังไว้ผมทรงม.ปลาย ก็เลยดูไม่เปลี่ยนไปเลย (ไว้ผมทรงอื่นไม่ได้เพราะสาขาที่เรียนบังคับอยู่) ก็แปลกดี ไม่เจอ ไมุ่คุยกันตั้งนาน แต่เหมือนเพิ่งเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อวานนี้ ไม่รู้สึกอึดอัดเพราะไม่มีอะไรจะพูดหรืออะไรทำนองนั้นเลย การได้เจอเพื่อนเก่านี่ดีจริงๆ ^^

ตอนเย็น นัดเจอเพื่อนเก่าอีกคน มาไกลจากแดนโคนมกันเลยทีเดียว ดีใจมากกกกกกกกกกก ถึงแม้จะพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกดีมากเลย

มีความสุข แต่รองเท้าขาด แต่มีความสุข




แต่อาทิตย์หน้าสอบไฟนอล!

9.08.2007

no topic

เสาร์ที่แล้วไปเจอเพื่อน AFS มา
มีคนบอกว่าเด็กAFSรุ่นเดียวกันที่ไปประเทศอื่น ไม่มีเจอกันบ่อยแบบนี้เลย มีแต่พวกเราเนี่ยแหละที่ยังเกาะกลุ่มกันอยู่
ฟังแล้วก็แอบปลื้ม เพราะเราเป็นคนจัดมีทติ้งแทบทุกครั้งเลย ^^
อยู่ด้วยกันไปอย่างนี้แหละนะ

มีทติ้งเสร็จก็กลับมาเผชิญโลกความจริงอันโหดร้าย
งาน การบ้าน สอบ ควิซ
เหนื่อยใจ
จันทร์หน้าส่งงาน 3 วิชารวด พฤหัสสอบ Bible+ส่ง Summary of Hail Mary
โอ้ย ท้อๆยังไงไม่รู้สิ หมดแรง อยากจะหนีไปไกลๆ แต่ก็หนีไม่ได้ - -
กว่าจะได้มาอัพบล็อกอีกทีคงหลังสอบเสร็จ
อยากไปทะเล นั่งริมหาดดูตะวันตกดิน เพราะคงไม่ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น
อยากจะวิ่งลงทะเล ตะโกนให้ดังๆ เล่นน้ำให้สะใจ กินซีฟู้ดให้อิ่มหนำ
นอนหลับฟังเสียงคลื่น เดินเล่นตากลมยามบ่าย





เทอมหน้าจะไม่เรียนเยอะแยะแบบนี้อีกแล้ววววววววววววววววววววววววววววววว

ป.ล. สอบเสร็จไปทะเลกัน

8.31.2007

วันศุกร์

ตอนเย็นพาน้อง+หลานรหัสไปเลี้ยงMKที่MBK ไม่ได้รวยหรอก แต่ว่าได้ Gift Voucher มา 500 เลยทำตัวเป็นป้ารหัสที่ดีซะหน่อย หลังจากเลื่อนนัดน้องๆมานาน วันเฉลยสายรหัสก็ไม่ได้ไป เอาเถอะ
กินสามคนสั่งไม่ยั้งเลย ไม่คำนึงถึงความสามารถในการกิน สั่งๆไปมีแต่เนื้อสัตว์ สั่งผักไปสองอย่างเองมั้ง
แต่คุณน้องและคุณหลานมีความจุพอๆกะคุณป้ารหัสมาก สุกี้เต็มหม้อ และเป็ดย่างอีกจาน หมดพรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! น้องรหัสกะเราหยุดกินแล้ว แต่หลานรหัสยังไม่หยุด (แล้วตัวเล็กสุดด้วย - -) กิน MK ว่าอิ่มแล้ว แต่น้องๆยังกินได้อีก

"พี่ตอง กิน Swensen กัน" เออ ก็ได้

ออกจากMKเดินเข้าร้านไอติม น้องๆอยากสั่ง Earthquake (เฮือก ) ดีที่เราห้ามไว้ หนูจ๊ะ สั่ง Hurricane 5 ลูกก็พอ 5 ลูกหมดในพริบตาอีกเช่นกัน...

เราภูมิใจสายรหัสเราจริงๆ ^^

หลังแยกย้ายกะน้องๆแล้วก็ไปเจออรุช ช่วยกันตามหารองเท้าในฝันของเรา ด้วยงบประมาณที่พี่ชาย(จะ)ให้ เราก็เลยอยากได้รองเท้าดีๆซักคู่นึง เดินดูอยู่นานหลายร้าน แล้วก็เจอรองเท้าที่ตรงสเปค

1.ใส่สบาย ไม่เจ็บ ไม่กัด ไม่รัด
2.ใส่ได้หลายโอกาส เที่ยว เรียน เริ่ด
3.เข้ากับบรรดากระเป๋าทั้งหลายของเรา
4.ราคาไม่แพงเกินเหตุ

กว่าจะได้คู่นี้มา เกรงใจพนักงานในร้านมาก เดินเข้าเดินออกหลายรอบ ลองแล้วลองอีก แล้วก็ไม่ซื้อ แล้วก็ไปร้านอื่น ทำแบบนี้อีก 555+

แต่น แต๊นนนน


ได้รองเท้าแล้วอารมณ์ดีขึ้นผิดหูผิดตาจนอรุชแปลกใจ

ประเด็นสำคัญของบล็อกวันนี้คือสายรหัสเรากินเก่งทุกคน และเราไ้ด้รองเท้าใหม่มาหนึ่งคู่ จบ

8.17.2007

the unexpected problem

เราก็อยู่ของเราดีๆ มีความสุขเล็กๆน้อยๆไปวันๆ แล้วจู่ๆปัญหาก็พรึ่บขึ้นมา ไม้ยมกเยอะเกินไปแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่จะพูดถึง เทอมนี้เราเรียน 10 วิชา แต่ยังไม่รู้สึกถึงความลำบากเท่าไหร่นัก จนไม่กี่วันมานี้ เพิ่งจะรู้ตัวว่าอ่านหนังสือน้อยมาก แบ่งเวลาไม่ค่อยถูกเลย กลับมาคอนโดก็เย็นแล้ว เหนื่อยแล้ว ยังต้องทำกับข้าวกินอีก กินอิ่มก็ต้องล้างจาน อาบน้ำ ทำงานบ้านนิดๆหน่อยๆ กว่าจะเสร็จก็สามทุ่ม ยังเหนื่อยอยู่เลย ขอพักก่อนได้มั้ย เล่นเน็ท ฟังเพลง ดูหนังแป๊บนึง แป๊บนึงผ่านไปเที่ยงคืนแ้ล้ว อ้าว พรุ่งนี้เรียนแต่เช้า นอนเลยละกัน หนังสือไว้อ่านทีหลัง...

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด วงจรอุบาทว์ วงจรอุบาทว์มากๆ ส่งผลให้คะแนนมิดเทอมอุบาทว์ไปตามๆกัน

เข้าใจแล้วล่ะว่าเรียนเยอะเกินความสามารถจะทำให้แบ่งเวลาไม่ได้ และทุ่มเทใ้ห้แต่ละวิชาได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร ดีที่การสอนพิเศษไม่ทำให้เราเหนื่อยเท่าไหร่ เฮ้อ สงสารวิชาเยอรมันจังเลย ทั้งที่วิชานี้เราอยากเรียนมากๆ แ่ต่ตารางเรียน 4โมง-1ทุ่มก็ทำเอาท้อเหมือนกันนะ อยากจะตั้งใจให้มากกว่านี้ แต่วิชาเอกวิชาโทก็สำคัญเหมือนกัน โดยเฉพาะนังแบคบริต แบค บิตช์ - - มันร้ายมาก ร้ายจนต้องทำใจล่วงหน้าว่า C+ แน่ๆ

อยู่คนเดียวนี่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ ต้องดูแลทุกอย่างเอง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ท ต้องคอยดูว่าของในบ้านขาดอะไรมั้ย ต้อง grocery shopping ต้องทำความสะอาด ทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด จะอยู่เฉยๆเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็มีคนทำให้เหมือนบ้านนู้นไม่ได้ ต้องคอยบังคับตัวเองตลอด จนติดเป็นนิสัยเห็นห้องรกไม่ได้ไปเรียบร้อย

อยู่คนเดียวมาปีกว่าแล้วเหรอเนี่ย...
เวลามันผ่านไปเร็วอย่างน่าเสียดาย

ป.ล.แบคบริต = Background to British Literature




8.12.2007

เราบอกไว้ในบล็อกหน้าที่แล้วว่าต่อไปนี้เราจะอัพเป็นภาษาอังกฤษ
แต่ทำไม่ได้อ่ะ มันไม่ได้อารมณ์เอาซะเลย ไม่อยากกระแดะแล้ว
น้องเราก็คงไม่ได้เข้ามาอ่านบ่อยนัก ส่งอีเมล์คุยกันดีกว่า

วันนี้วันแม่ ที่บ้านเราก็ไม่ได้ทำอะไรพิเศษ แต่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ลูกแม่ทั้งสามคนกลับมาบ้าน คราวนี้พ่วงลูกสะใภ้มาอีกหนึ่ง
ปีหน้าคงพ่วงหลานตัวน้อยๆมาด้วย :)

ระยะหลังๆมานี้เริ่มรู้สึกว่าเราเอาแต่คิดถึงเรื่องหลังเรียนจบ
จะทำอะไรดี จะไปไหน จะเรียนต่ออะไร
พ่อเราบอกว่าพ่อวางแผนไว้ให้แล้ว แต่แผนที่พ่อวางไว้
เราฟังแล้วไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ ถึงพ่อจะบอกว่า แล้วแต่ลูก
เราก็ยังจับได้ว่าพ่ออยากให้เราทำตามใจพ่อ

สิ่งที่ต้องทำแน่ๆคือเรียนนิติ รามฯ ให้จบให้ได้
อีกอย่างก็คือเรียนปริญญาโท ซึ่งดูๆแล้วเรามืดแปดด้านมาก (ทำไมต้องแปดด้าน ใครรู้บอกด้วย)
เราไม่รู้ว่า การเรียนป.โท ควรจะเรียนสาขาที่เราชอบ (English, European Studies, Cross-Cultural Studies) หรือสาขาที่เรียนแล้วเอาไปทำงานได้จริงๆ อย่างพวก MBA
มันเป็นการลงทุนที่สูงอ่ะ เราไม่อยากเรียนแล้วเสียดายเงินทีหลัง
เรื่องหางานเราก็คิดนะ ไอ้งานที่อยากจะทำก็ไม่รู้จะได้ทำมั้ย แล้วเวลาดูประกาศรับสมัครงาน
งานสำหรับสายเราโดยตรงหายากมากๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกวิศวฯ บัญชี
งืม เด็กอักษรอย่างชั้นจบไปจะทำอะไรกินล่ะ เห้อ

จะว่าว่างมากแล้วคิดฟุ้งซ่านมันก็ไม่ใช่เรื่องนะ เรียน 10 วิชาจะเอาเวลาไหนมาว่าง
(แต่ก็ยังว่างออนเอ็มได้ทุกวี่ทุกวัน)

เห้อ เห้อ เห้อ
จบสำหรับส่วนภาษาไทย ส่วนต่อไปจะเขียนถึงน้องนิดนึง

Hej Mia...det styk er til dig...
Jeg gider ikke mere at skrive paa engelsk. Det er bedre paa dansk, synes du ikke det?
Du skal tale engelsk hele tiden...saa det bli'r rart at laese lidt dansk, ikke?
I gaar var mors dag her i Thailand. Mine to broeder plus min svigesoester var hjemme hos os.
Vi havde en go' samling. Det var rigtig hyggeligt.
Jeg snakkede med Helle og Thomas i gaar. De savner dig. Det goer jeg osse.
Ha det godt min Mia. Jeg skriver igen snart. Haaber det gaar fint derover.

8.07.2007

updates

From now on I will update my blog in English so that I can make it international.
Just kidding. I want my Danish sister to read it too.
I chose English because then I don't have to update my blog in two languages.
It's too complicated. Plus, Danish is now too difficult for me to write.

At the moment I'm doing fine. Midterm exams are over.
I have more free time to watch Friends!
I'm addicted to this series.

Well, I don't have much to say. Things are going great. I'm happy.
I'm also very excited that my ex-host sister is going to USA this Thursday!
I hope she will enjoy her AFS year just like I did :)

Dunno what to say anymore...so...see ya later!

Please leave a comment in your own language.

7.27.2007

after midterm

ในที่สุดก็สอบเสร็จ

หลังจากผ่านการสอบในมหาวิทยาลัยมาหลายครั้งหลายหน
ก็สังเกตว่าในการสอบแต่ละครั้งเราจะพบปัญหาเดิมๆเสมอ

1.อิทธิพลจากคนรอบข้าง
มีผลกะเรานะ อย่างเช่น หันไปเจอคนที่หมดไฟแล้ว
เราก็จะรู้สึกว่า เห็นมะ คนนั้นยังหยุดเขียนแล้วเลยอ่ะ แล้วฉันจะเขียนต่อทำไม
เราก็สมองฝ่อไปซะเฉยๆนะ แต่ถ้าหากว่า หันไปเจอคนที่เขียนเยอะๆ
ก็จะ โอ้ววว เขียนอะไรเยอะนักกกก ไม่ได้ๆๆ ต้องเขียนมั่งแล้ว

เห็นไหม มีผลจริงๆนะ

(กรณีนี้จะมีผลเมื่อข้อสอบเป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ)

2.ปัญหาทางภาษา
พบบ่อยเมื่อทำข้อสอบที่ไม่ใช่ภาษาไทย และทำให้เกิดความแค้นเล็กๆ
เพราะบางทีรู้คำตอบ รู้ว่าตัวเองอยากจะเขียนอะไร แต่เขียนไม่ได้
เพราะคำศัพท์ไม่พอ ผันเวิร์บไม่เป็น แกรมม่าไม่แม่น เรียบเรียงไม่ถูก
ภาษาอังกฤษไม่ค่อยเป็นปัญหาเพราะชินแล้ว จะเป็นก็อิตาเลียนเนี่ย
อย่างข้อสอบคราวนี้ โจทย์มีอยู่ว่า
-เขียนคำแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยว
-เขียนข้อดีข้อเสียของระบบขนส่งมวลชน
-เขียนวิธีส่ง sms

อืมมมมมมมมมม

3.นิสัยเสียของตัวเอง
ถ้าเกิดว่าทำข้อสอบไม่ได้ หรือเกลียดวิชาไหน
ก็จะไม่เกิดความรู้สึกว่าต้องพยายาม นอกจากว่าให้ผ่าน ไม่ติด F ก็พอแล้ว
ไม่ดีเลย อยากเลิกเป็นแบบนี้จัง

เปลี่ยนเรื่อง
วันนี้สอบเสร็จไปเดินเล่นในศูนย์หนังสือ มีคุณลุงคนนึงมาคุยด้วย
คุณลุงคนนี้บอกว่ากำลังหาหนังสือเตรียมสอบอังกฤษให้ลูกสาว
ซึ่งอยากเข้าอักษร เอกอังกฤษ (อะไรจะเหมาะเจาะขนาดนั้น)
คุณลุงหอบหนังสืออยู่เยอะมาก หนึ่งในนั้นมี การแปลขั้นสูง ด้วย
ซึ่งเรายังเรียนแค่ intermediate อยู่เลยอ่ะ - -
และก็พบว่าหนังสือที่คุณลุงเลือกมา ไม่เหมาะกะเด็กม.ปลายอย่างแรง
แถมยังเลเวลสูงไปสำหรับเราอีกต่างหาก ก็เลยเลือกให้ใหม่
คุณลุงคนนี้มาจากสุราษฎร์ธานีเลยนะ มาเพื่อซื้อหนังสือให้ลูก
^^ รู้สึกดีที่ได้ให้ความช่วยเหลือ อิ่มใจ

อิ่มท้องด้วยเพราะมีคนพาไปเลี้ยง ขอบคุณนะ ^^

7.09.2007

อุด้ง ทำเองก็ได้ ง่ายจัง

อะโน วันนี้ขอนำเสนอเมนูอู๊ดๆ ที่มีชื่อว่า
อุด้งพารากอน

เนื่องจากของทุกอ
ย่างซื้อที่ Gourmet Market สยามพารากอน
งบประมาณ ไม่เกิน
135 บาท

ส่วนผสมและเครื่องปรุงสำหรับ 1 ที่
1.บะหมี่อุด้งพร้อมเครื่องปรุง ยี่ห้อ ซ
ากุระ (มันมีซองซุปมาให้ด้วย)


2.ลูกชิ้นปลาแท่ง 1 ห่อ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ


3.สาหร่าย 1 ห่อ(สำหรับตกแต่ง จะเอาไปต้มกะซุปด้วยก็ได้) อย่าใช้แบบทอดกรอบ


4.หอมใหญ่ ครึ่งหัว หั่นยังไงก็ได้ตามใจชอบ
5.กะหล่ำปลีหัวเล็ก 1 หัว ซอยหยาบๆ
6.เนื้อหมู/วัวสไลด์
ย้ำว่าต้องสไลด์ อร่อยโคตรรรรรรรรรรรรรรรร
7.แครอท 1 หัว หั่นเป็นแว่นๆ

แนะนำว่าให้ใช้หม้อ 2 ใบไปพร้อมๆกัน จะได้ไม่เสียเวลา อย่างเรานี่ไม่สามารถ ก็เลยใช้หม้อธรรมดากะหม้อหุงข้าวแทน มาถึงวิธีทำล่ะนะ

1.ต้มน้ำให้เดือด เอาเส้นอุด้งใส่ลงไป ซุปยังไม่ต้อง ซักพักเส้นมันจะเริ่มแยกๆออกจากกัน จังหวะนี้เอาตะเกียบแยกให้เส้นกระจายตัวออก (คือก่อนหน้านี้มันจะเป็นก้อนเดียวกันอยู่น่ะ) แล้วก็เอามาพักไว้ในน้ำเย็น เส้นจะได้เหนียวนุ่มมมม
2.อีกหม้อนึง ต้มน้ำให้เดือด ใส่หอมใหญ่ แครอท กะหล่ำปลีลงไป แล้วปล่อยมันไว้เฉยๆ
แต่สนใจมันมั่งก็ดี

3.พอเอาเส้นอุด้งพักไว้ในน้ำเย็นหมดแล้ว (แช่ไว้พอเป็นพิธีแล้วรินน้ำออก) น้ำในหม้ออย่าเพิ่งทิ้ง เอาหมูลงไปต้มต่อได้เลย ถ้ามีโชยุก็ใส่ไปด้วย


4.ขณะรอหมูสุก ฉีกซองซุปใส่อีกหม้อนึง คนให้เข้ากัน
5.หมูสุก ซุปได้ที่ ก็ย้ายเนื้อหมูไปรวมกะซุป เทลูกชิ้นปลาที่หั่นไว้ลงไปด้วย คนให้เข้ากันอะเกน

6.ซุปพร้อม เส้นพร้อม กินได้แย้ว

(สีมันแปลกๆนะเพราะไฟในห้องเป็นสีส้ม)

-ที่ให้ต้มหมูแยกกะซุป เพราะรสซุปจะได้ไม่เข้าเนื้อหมู รสมันจะได้ไม่กลืนกันไปหมดอ่ะ
-ถ้ารอให้หมูกะผักเปื่อย ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่าการรอคอยมากๆ
-จริงๆแล้วซื้อแค่อีบะหมี่นั่นก็พอ 555+ ถ้าอยากใส่อย่างอื่นที่ไม่เหมือนเราใส่ก็ลุยโลด
!
-อิ่มโคตรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร

-โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ถ้าลองทำดูเองแล้วไม่อร่อยอย่ามาว่ากันนะ

7.08.2007

:) Happy

internet ที่คอนโดเพิ่งใช้งานได้เมื่อกี้นี้เอง สดๆร้อนๆ
เราก็ผละจากกองหนังสือหาอ้อมอกคอมทันที
ก่อนหน้านี้ไม่มีเน็ทให้เล่นหลายวัน ดูซีรี่ส์จนเบื่อแล้ว
สุดท้ายก็ต้องหันไปอ่านหนังสือเรียน ดูมีสาระเนาะ
ก็ดีเหมือนกันนะที่internetมีปัญหา บังคับให้เราเนิร์ดไปชั่วขณะ
ไม่งั้น Mourning Becomes Electra
(หรือ Mourning Becomes อีบ้า ตามที่อ.เค้าเรียก)
คงจบไม่ทันมิดเทอมแน่ๆ

พูดเรื่องหนังสือนี่นิดนึงละกัน
มันคือหนังสืออ่านนอกเวลาแสนสนุกของ Mythology
พล็อตเอามาจากเรื่องราวของครอบครัว Agamemnon
อ่านแล้วเหมือนนั่งดูละครช่องเจ็ดน่ะ อารมณ์นั้นเลย
ทีแรกคิดว่าจะน่าเบื่อ แต่จริงๆแล้วมันก็เพลินดี
อ่านไม่นานก็จบ

กิจกรรมทดแทนinternetอีกอย่างที่ทำคือ
จัดตู้หนังสือ
โละชีทเก่าๆทิ้งไปหมด เก็บไว้แต่หนังสือเรียน
ไม่น่าเชื่อว่าเรามีชีทเยอะขนาดนั้น - -
ตอนนี้ตู้หนังสือสวยงามเป็นระเบียบ แบ่งเป็นหมวดหมู่
คือหมวดไร้สาระ กับหมวดมีสาระ
จัดแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นนะ จัดการชีวิตง่ายดี
แถมยังมีที่ให้เก็บกระเป๋าเพิ่มด้วย เนื่องจากเรามีกระเป๋าเยอะมาก
เยอะจนไม่มีที่เก็บแล้วอ่ะ แงๆ

ตอนนี้ชีวิตมีความสุขดี ถึงจะเรียนหนักไปหน่อยก็เถอะ
และแม้จะอยู่ในช่วง financial crisis ก็ตาม - -
เรื่องบ้าเครื่องสำอางเลยต้องหยุดไปโดยปริยาย
เนื่องจากงบไม่พอ อนาถจริงๆ

Life is tough, but let's enjoy it!

เพลงประจำวัน: I'mma flirt by Bow Wow featuring R. Kelly

7.02.2007

quick update

เน็ทที่คอนโดเจ๊ง ไม่รู้จะใช้การได้เมื่อไหร่
ส่งผลให้ดิชั้นหงุดหงิดเล็กน้อยถึงปานกลาง
เพราะเล่นเอ็ม ซึ่งเป็นงานอดิเรกสุดโปรดไม่ได้
ทำได้แต่ฟังเพลง และนั่งดูซีรี่ส์ที่โหลดมาไปเรื่อยๆ
ไร้สาระจริงๆ
แต่เล่นเน็ทไม่ได้ก็ดีเหมือนกัน จะได้บังคับตัวเองให้อ่านหนังสือมากกว่านี้

ตอนนี้โปรดปรานและบ้าคลั่งเครื่องสำอางอย่างมาก
ถึงขั้นหมกมุ่นก็ว่าได้

ณ เวลานี้
ดิชั้นนั่งอยู่ที่ห้องคอมคณะ
หมายใจว่าจะมาทำงานอิตาเลียนส่งอาจารย์ในวันนี้
(งานสั่งวันพุธ ให้ส่งวันนี้ ยังไม่ได้ทำเลย)
แต่ดิชั้นกลับเปิดเว็บเครื่องสำอาง
และอัพบล็อกอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ดิชั้นกล้ามากค่ะ 555+

ไปและ ทำงานต่อ จะออกจากห้องคอมซะที

แล้วจะมาใหม่ค่ะ โฮะๆๆๆๆๆ

6.26.2007

One-sided, unconditional love

ไปได้กลอนแต่งเองที่ดีมากๆมาจากบล็อกนี้ เป็นของรุ่นพี่อักษรฯคนนึง
ที่เราไม่รู้จัก แต่ได้ไปอ่านบล็อกของเ้ค้าโดยบังเอิญ และโชคดีมากๆที่ได้อ่าน

I’m letting you go now.
I’m letting you go.

I’ve clung to you for so long,
now I release you from my mind,
Though my love for you is ever strong,
Though you’re one of a kind.

I wish you happiness life can give,
peace of mind and mind of peace,
And more and more should you receive,
from others who would never cease,
to give you love.

I can never hold another,
the way I have held you.

nor gaze upon another,

for all I see is you.

You’re in everything I do-

though you’re not at all aware

that you’re the only one I care.


I will invest all my life,
my joy, sorrow, hope and sweat,
in oeuvre for others, though this strife-
slowly turns my heart… cold dead.

Do not ask me, years ahead,
why I’m still on my own,
my life without you, years ahead,
means walking all alone.


Letting go of your hand,
I wish that it would be-
softly in that of the man,
who would forever be,
worthy of your affection,
and of mine.
You see,

I’m letting you go now.
I’m letting you go.

If love means letting go,
Mine will grow deeper, deeper still,


Life’s rippling tide can only show,

what time can never, ever kill.


6.22.2007

japanese story

ตอนอยู่ม.ปลาย นั่งรถไฟฉึกฉักปู๊นปู๊นไปเรียนทุกวัน
เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่ไปเรียนในตัวจังหวัด
จริงๆแล้วจะนั่งรถตู้ก็ได้ แต่มันแพง ซื้อตั๋วรถไฟแบบเดือน
เดือนละ 192 บาท นั่งกี่รอบก็ได้ คุ้มกว่ากันแยะ
ได้เจอเพื่อนต่างโรงเรียน หรือไม่ก็เพื่อนเก่าสมัยประถมด้วย
เรามีความทรงจำเกี่ยวกะรถไฟมากมาย
แต่ที่ไม่เค้ยไม่เคยลืมเลย ก็มีอยู่เรื่องนึง
แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับผู้ชาย 555+

รถไฟตอนเย็นที่เรานั่งกลับบ้าน เป็นรถไฟกรุงเทพ-อรัญประเทศ
จะมีันักท่องเที่ยวต่างชาตินั่งมาบ่อยๆ หล่อบ้างไม่หล่อบ้าง
บางทีเรากะเพื่อนก็เข้าไปคุยด้วย (ผู้หญิงก็คุยนะ) สนุกดี
วันนึง ขึ้นรถไป สายตาเราก็เหลือบไปเห็นเป้าหมาย
ชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างผอมสูง นั่งอยู่คนเดียว ไม่ใช่คนไทยแน่นอน
สะกิดเพื่อน "เฮ้ย ดูดิ น่ารักว่ะ"
อืม ใช่ กุหื่นแต่เด็กๆและล่ะ คงไม่แปลกใจนะ
ก็ยกขบวนเพื่อนสาว 4-5 คน เดินเข้าไปทักทายเค้า
ได้ความว่าชื่อ Itaya Yohei อาุยุ 21 มั้ง จำไม่ได้ มาจาก Nigata
จะไปเที่ยวอรัญ ไปเขมรด้วยมั้งไม่แน่ใจ อีกอาทิตย์นึงจะกลับมาใหม่
คุยกันสนุกสนานเกือบชั่วโมง จนถึงสถานีที่เราต้องลง
ก็ได้อีเมล์ เบอร์โทรเค้ามา
(กรี๊ดดดดด น่ารักโคตรๆเหอะ)
เราก็จำอะไรได้ไม่มาก นอกจากครั้งสุดท้ายที่เจอเค้า
วันนั้นนัดเจอกันที่สถานีรถไฟใกล้บ้านเราตอน 5 โมง
แต่เราัติดธุระอะไรไม่รู้ เลยกลับไปไม่ทันเวลา
เราต้องรอรถไฟเที่ยว 6 โมง และจะถึงบ้านตอน 1 ทุ่ม
ก็คุยโทรศัพท์กัน Yohei บอกว่าจะรอเรา (กะเพื่อนๆด้วยนะ)
นั่งรถไฟกลับบ้านด้วยใจร้อนรุ่ม
รุ่ม
ร้อน
ร้อน
รุ่ม
เวลา 1 ชั่วโมงนี่มันนานจริงๆ
ลงรถไฟมาก็เห็นYoheiนั่งรออยู่
เรากะเพื่อนพาเค้าไปกินข้าวต้มหมู ที่ร้านรอนาน
(จริงๆ้ชื่อร้านอะไรไม่รู้ แต่เรียกงี้ เพราะมันรอนานจริงๆกว่าจะได้กิน
แต่ข้าวต้มหมูนี่ได้เร็วนะ เพราะเค้าทำไว้แล้ว)
he ก็ฟาดไปสองถ้วยรวดเดียวจบ บอกว่าอร่อยมากๆ
อ้อ ตอนที่เจอกันครั้งแรก เค้าให้หนังสือเรามาเล่มนึง
เป็นบทสนทนาสำหรับนักท่องเที่ยว เป็นภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น ไทย
เรายังเก็บไว้อยู่เลย

และครั้งสุดท้าย เค้าก็ซื้อหนังญี่ปุ่นเรื่อง waterboys มาให้เรา
บอกว่าเรื่องนี้ดีมากนะ อยากให้เราดู

หลังจากตอนนั้นก็ยังติดต่อกันมาเรื่อยๆ
เค้ากลับไปแล้วก็ยังคุยกัน
แล้วอยู่ๆเค้าก็หายไป 2-3ปีแล้วแหละ
บังเอิญเห็นกล่องหนัง waterboys แถวนี้
เลยนึกถึงเค้าขึ้นมา
คิดถึงจัง

ป.ล.ไม่ได้มีความรู้สึกรักข้ามขอบฟ้าอะไรแบบนั้นนะ
แค่รู้สึกดีเฉยๆ ป่านนี้heคงแต่งงานไปแล้วแหละ

6.20.2007

เรื่อยเปื่อย

ชีวิตปีสามของสาวอักษรมันหนักหนาอย่างนี้นี่เอง
.
.
.
เกิดมาไม่เคยเรียนเยอะขนาดนี้มาก่อน
เรียน 10 วิชา 22 หน่วยกิต

ศัตรู 10 ตัว มีดังนี้
1.
BASIC CONCEPTS OF COMPUTING วิชาบังคับของคณะ
2.
MYTHOLOGICAL BACKGROUND TO ENGLISH LITERATURE บังคับเอก
3.
BACKGROUND TO BRITISH LITERATURE บังคับเอก
4.
ENGLISH LETTER AND REPORT WRITING วิชาเลือกเอกสายทักษะ
5.
INTERMEDIATE TRANSLATION: ENGLISH-THAI เลือกเอกอีกเช่นกัน
6.
INTERMEDIATE TRANSLATION :THAI-ENGLISH นี่ก็ด้วย
7.
ACCELERATED GERMAN FOR BEGINNERS I นี่เรียนเป็น gen-lang
8.
ITALIAN READING AND LISTENING COMPREHENSION I บังคับโท
9.
ITALIAN ORAL AND WRITTEN EXPRESSION บังคับโท
10.
JEWELRY APPRECIATION gen-ed หมวดมนุษย์

ยิ่งไปกว่านั้น
ชั้นยังรับสอนพิเศษเด็กสาธิตจุฬาฯ ทุกวันพุธตอนเย็นอีก 1 ชั่วโมง
ไม่รู้ทำอะไรเกินตัวไปรึเปล่า แต่ก็จะทำให้ดีที่สุดล่ะเทอมนี้
ชั้นคงต้องกลายไปเป็นตัวเนิร์ดจริงๆซะแล้ว
จากที่เคยเป็นเจ้าแม่ msn ออนไลน์ตลอดเวลา คงต้องลาออกจากตำแหน่งแล้วล่ะ
มีเพื่อนคนนึงเคยบอกว่า ถ้าอยากจะคุยกะนังตอง ไม่ต้องโทรหามัน
ให้ออนเอ็มแทน ไม่เปลือง - -

เหนื่อยและเครียด
ช่วงนี้อาจจะเห็นชั้นนั่งเหม่อลอย หน้าดูว่างๆ จิตเลื่อนๆ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง
ไม่ต้องสงสัย นั่นแปลว่ากำลังเครียดอยู่

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย

มาบ่นพอเป็นพิธีค่ะ จบแล้วค่ะ สวัสดีทุกท่านค่ะ

6.18.2007

new blog!

storythai, bloggang, spaces, and blogspot...
อพยพมาหลายครั้ง หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย
บอกไว้ก่อนว่านี่คือบล็อกเรื่อยเปื่อยไปตามเรื่อง
จะหาสาระอันใดไม่มีหรอกนะ
ก่อนอื่น ขอประเดิมบล็อกใหม่ไฉไลกว่าเก่าด้วยเพลงๆนึง
ที่ครั้งนึงเคยโดนใจอย่างรุนแรง

"เจ้าไม้ขีดไฟก้านน้อยเดียวดาย แอบรักดอกทานตะวัน
แรกแย้มยามบานอวดแสงตะวัน ช่างงดงามเกินจะเอ่ย
ดอกเหลืองอำพันไม่หันมามอง แม้เหลียวมายังไม่เคย
ไม้ขีดเจ้าเอ๋ย เลยได้แต่ฝันข้างเดียว
ดอกไม้จะบานและหันไปตามแต่แสงแห่งดวงอาทิตย์

จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟขึ้นมา
เพียงปรารถนาให้มีลำแสงสีทอง
จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟขึ้นมา
เพียงปรารถนาดอกทานตะวันหันมองสักครั้ง

เจ้าไม้ขีดไฟก้านน้อยเดียวดาย สาดแสงในใจไ่ม่นาน
ดอกเหลืองอำพันจึงหันมามอง และพบเพียงกองเถ้าถ่าน
เจ้าไม้ขีดไฟก้านน้อยเดียวดาย เพราะรักจริงใจอย่างนั้น
เพียงแค่เธอหัน เพียงแค่เธอมองก็พอ"

(ฟังได้ที่นี่)

ในตำนาน Greek mythology เล่ากำเนิดของดอกทานตะวันไว้โรแมนติคดี
ก็มี Apollo, God of Sun กับ Clytie ที่หลงรัก Apollo อย่างมาก
ทุกๆเช้า Apollo ก็จะขี่รถม้าขึ้นมาจากขอบฟ้า ก็คือเวลาพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง
ทุกๆเย็น ก็จะขี่รถม้าหายกลับเข้าไป Clytie ก็เฝ้าแต่รอให้ Apolloขี่รถม้าขึ้นมาจากขอบฟ้าอีก
แต่ Apollo ก็ไม่เคยสนใจเลย รักเค้าข้างเดียวว่างั้นเถอะ
จนวันนึง Apollo ก็สงสาร ดลบันดาลให้ Clytie กลายเป็นดอกไม้ ก็คือดอกทานตะวันนั่นเอง

ที่ดอกทานตะวันไม่หันมามองไม้ขีดไฟ ก็เป็นเพราะมัวแต่มองดู Apollo น่ะแหละ

เคยเป็นดอกทานตะวัน หรือไม้ขีดไฟกันบ้างรึเปล่า?