12.13.2008

Enjoy Eating at พร้อมพงษ์

เมื่อวานไปกินอาหารเม็กซิโกที่เอ็มโพเรียมมา
ทีแรกกะจะไปกินราเม็ง ร้าน Ramen Tei
แต่ไปๆมาๆก็มาลงเอยร้าน Sunrise Tacos (มั้งนะ)
อยู่ตรง foodzone ใหม่ของห้าง
สั่งมาแค่อย่างเดียว เพราะจะเก็บพุงไว้กินอย่างอื่นอีก
หน้าตาแบบนี้ รูปมันเอียงอ่ะ โทษที

พยายามจะซูม แต่กล้องมีบุญแค่ีนี้


เลือกแป้งได้ว่าจะเอาแป้งกรอบ หรือแป้งนิ่ม เลือกแบบนิ่มมา
ไส้้ข้างในก็มีเนื้อไก่ ชีส ผักต่างๆ ละก็ซอสเผ็ดๆ

อร่อยยยยยยยยยยยยย >< ราคาก็ปกติ จัดไปทางค่อนข้างแพง วันหลังจะไปลองอีก จัดการทาโก้เสร็จแล้วก็ไปต่อกันที่ของหวาน ร้าน Custard Nakamura ซอย 33/1


ในกล่องมีอะไรน้าา



โรลชาเขียวไส้ครีมถั่วแดง อันใหญ่มาก 60 บาทเท่านั้น
รูปเอียงอีกแล้ว ซอรี่

แถมวิวจากสวนในคอนโด กับวิวจากหน้าต่างห้องตอนเช้ามืด (ตื่นมาทำไมวะ)



บล็อกวันนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากแนน
รูปทั้งหมดจากมือถือนะ มันเลยไม่ค่อยชัด
จบค่าาา

12.09.2008

so scared of getting older, i'm only good at being young

เมื่อวานเข้าไปตรวจสอบ+บันทึกข้อมูลใน regchula
เพื่อที่จะ "ขอสำเร็จการศึกษา" ภาคปลาย ปีการศึกษา 2551
นั่งอยู่กับเพื่อนอีกคนในห้องคอมคณะ
ทำใจอยู่พอสมควรกว่าจะกด submit ข้อมูล
แค่คลิกเดียวเท่านั้น เราก็ "ขอสำเร็จการศึกษา" เรียบร้อยแล้ว
อะไรมันจะง่ายดายปานนั้น

ง่ายเกิ๊น

ง่ายซะจนไม่น่าเชื่อ

ปี4 หลายๆคนก็คงอดไม่ได้ที่จะคิดเหมือนเรา
ที่พอทำเรื่องขอจบ
(ซึ่งฟังดูเหมือนต้องเดินไปสำนักทะเบียนที่ตึกจามฯ5 แล้วจ่ายตัง)
แล้วอดใจหายไม่ได้ นี่เทอมสุดท้ายแล้วจริงๆ
เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือน
เร็วมาก จนจับต้นชนปลายไม่ถูก นี่ชั้นจะทำอะไรก่อนดี
อยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้ม
และแน่นอนทุกคนก็มีคำถามในใจ ที่ยังหาคำตอบไม่ไ้ด้
จบแล้วจะทำอะไร จบแล้วไปไหน ทำงาน หรือเรียนต่อ
ทางเลือกมีแค่สองอย่างนี้เท่านั้นเหรอ น้อยจังเนอะ

จบแล้วจะทำอะไร กับ จบแล้วอยากทำอะไร ไม่เหมือนกัน

จะ = ไม่เรียนก็ทำงาน สองอย่างนี้เท่านั้น
อยาก = ท่องเที่ยว ออกไปดูโลกกว้าง (ทั้งที่เงินก็ไม่มี) หาประสบการณ์

แต่พอคิดถึงความเป็นจริงแล้วคำตอบก็เหลืออยู่ 2 อย่างนั่นแหละ

เทอมที่แล้ว มองย้อนไปดูตัวเราตอนปี 1 เทียบกับตอนนี้
ไม่ต่างกันเท่าไหร่
ยังรู้สึกเหมือนเมื่อวานเพิ่งใส่รองเท้าเปเปอร์มินต์อยู่เลย

แต่พอวันนี้
ก็รู้สึกว่า ปี 4 แก่แล้วจริงๆด้วยว่ะ - -
ม่ายยยยยย เอาความโนเนะของชั้นคืนมาาาา

จบดีกว่า ก่อนจะบ้าไปกว่านี้

(หัวข้อวันนี้มาจากเพลง stop this train by John Mayer)

11.19.2008

Me and My First Banoffee Pie

ฮิฮิฮิ ฮ่่าฮ่าฮ่า
ฤกษ์งามยามดีอัพบล็อกอีกครั้งหลังดองกำลังได้ที่

วันนี้ขอเสนอ บานอฟฟี่ พาย
ฝีมือตองเอง หุๆ

อะไรดลใจให้นึกอยากหัดทำขนมอีกครั้งก็ไม่รู้
รู้แต่สองสามวันที่ผ่านมาเข้าแต่ห้องก้นครัว ในพันทิป
หาสูตรขนมที่ไม่ต้องใช้เตาอบ No-bake recipes ทั้งหลาย

แล้วเราก็หากันจนเจอ...
Banoffee Pie ซึ่งเหมาะแก่มือใหม่อย่างดิชั้นยิ่งนัก
แถมยังชวนอ้วนเอามากๆด้วยแหละ

ไม่ได้ทำตามสูตรเป๊ะๆนะ ก็กะเอาเอง มั่วเอง
ในสูตรเค้าใส่ครีมชีส/Mascarpone cheese กันด้วย
แต่นังตอง งบจำกัด ใส่แค่วิปครีมก็พอ เหอะๆ

ส่วนผสมแบบมั่วๆของตองนะเคอะ
-กล้วยหอม 2 ลูก
-ดาร์คช็อคโกแล็ตยี่ห้อ Ritter Sport ห่อนึง
-แคร็กเกอร์ Ritz 1 ห่อ
-วิปครีมกล่องน้อย 1 กล่อง
-เนยก้อนน้อย 2 ก้อน
-อะไรอีกอ่ะ ไปเปิดตู้เย็นก่อนนะ
-คาราเมลท็อปปิ้ง ยี่ห้อ Imperial เพราะขี้เกียจทำคาราเมลเอง

วิธีทำ ง้ายง่าย มั้วมั่ว
1. เอาแคร็กเกอร์ห่อมาตำให้ละเอียด ใส่เนยที่ละลายแล้วลงไป ผสมให้เข้ากัน

2. ละก็เอาไปใส่พิมพ์ ปาดให้เรียบร้อย แช่ตู้เย็นไว้ สักครึ่งชั่วโมงมั้ง

3. ระหว่างรอ ก็หั่นช็อคโกแล็ตเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยใส่หม้อ ผสมวิปครีมนิดหน่อยพองาม

4. เอาหม้อเมื่อกี้ไปซ้อนบนหม้ออีกใบที่มีน้ำเดือดอยู่ อย่าให้หม้อช็อคโดนน้ำร้อน
งงไหม งงก็อ่านใหม่นะ
5. พอช็อคละลายหมดแล้วก็เอามาราดบนแคร็กเกอร์ ปาดให้ทั่วๆ แช่ตู้เย็นครึ่งชั่วโมง

6. หั่นกล้วย ราดคาราเมล แล้วเรียงทับช็อคโกแล็ต แช่ตู้เย็น เวลาเท่าเดิม
7. ตีวิปครีมให้มีหน้าตาเหมือนวิปครีมในถ้วยไอติมเสวนเซ่น ได้กล้ามมาหนึ่งลูก
แต่ว่า...แต่ว่า...ตองตีนานไปอ่ะ มันเลยออกมาใช้ไม่ได้ T__T
8. เอามาปาดดดดทับกล้วย (แม้มันจะเป็นวิปครีมเหียก) แ่ง่มๆ หิวๆ
9. เสร็จแย้ว กินได้ อ้ามมม

หมายเหตุ
-ตองมีหม้อใบเดียว และเป็นหม้อเหียก จึงใช้หม้อหุงข้าว กับถาดตุ๋นแทนค่ะ
-ช็อคโกแล็ตโปะหน้า ใช้ไมโล โอวัลติน โรยๆเอาก็ได้ แต่ตองไม่ได้ซื้อ
-ถ้วยที่จะใช้ตีวิปครีม ควรเป็นถ้วยโลหะ และเอาไปแช่เย็นก่อน จะตีวิปครีมได้ง่ายขึ้น
ตองก็ไม่มีอีกน่ะแหละ เลยใช้หม้อหุงข้าวใบเก่าแทน
-รักหม้อหุงข้าว จุ๊บๆ

ข้อผิดพลาด
-ใส่เนยในแคร็กเกอร์น้อยไป มันไม่เกาะกัน ตัดออกมาร่วนเชียว
-ช็อคโกแล็ตมากไป
-ตีวิปครีมพลาดดด กว่าจะตีได้ ลำบากยากเย็น ดันตีนานไปอีก
-ลืมซื้อพิมพ์แบบฟอยล์ ที่ใช้นี่คือกล่องข้าวไมโครเวฟ - -"

สูตรได้มาจาก
http://www.pantip.com/cafe/food/topic/D7197120/D7197120.html
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2006/12/D4990589/D4990589.html
http://www.wikihow.com/Make-Banoffee-Pie

สรุปแล้วโดยรวมก็กินได้นะ รสชาติไปไหว ครั้งหน้าจะแก้ตัวใหม่...

รู้นะว่ามีคนคิดว่า ซื้อกินไม่ถูกกว่าหรอ ง่ายกว่าด้วย
แต่อยากทำอ้ะ

9.30.2008

ปิดเทอมแล้วเฟ้ยยย

ปิดเทอมแล้วววววววว
กรี๊ดดดด ดีใจสุดแสน


จริงๆสอบเสร็จตั้งแต่ 23 กันยาละล่ะ
แต่มีอันต้องปั่น term paper กับนั่งเทียนเขียน short story
ให้ทันวันที่ 29 (ก็เมื่อวานอะนะ) ก็เลยไม่ได้รู้สึกโล่งใจเท่าไหร่
ผิดกับตอนนี้ วะฮ่ะฮ่ะฮ่าาาา

ปิดเทอมจะทำอะไร
ปิดเทอมจะ
-ลดความอ้วน
-อ่านสอบโทเฟล
-ทำตัวขี้เกียจเหมือนหมา (แม่ชอบด่าแบบนี้)
-เล่นกะเพื่อน

สองข้อหลังมั่นใจว่าทำได้แน่ๆ ผิดกับสองข้อแรก

ตอนนี้กำลังหลงใหล(เขียนไงนะ)ได้ปลื้ม
เกิดอาการรักเด็กขึ้นมาอย่างท่วมท้น
รักเด็กคนเนี้ยะ


(เครดิตรูป หาไม่เจอแล้ว)
เปิดเหม่งก็น่ารัก
หัวเห็ดก็น่าร้ากก

(เครดิตในรูป)
เสื้อเหลืองนะเคอะ เด็กสุดในวงเลย

(เครดิตในรูป)

เห็ดน้อยคนนี้ชื่อ ลี แทมิน
สมาชิกที่อายุน้อยในที่สุดในวง SHINee
อายุ 15 เท่าน้านนน
ละอ่อนน่าเจี๊ยะจริงๆ 555+

เค้าบอกว่าแทมิน เป็นลูกฮีชอล แ่ห่งเอสเจ
เหมือนจริงๆแหละเนอะ ดูจิ

(เครดิตรูป www.siamzone.com)
เห็ดน้อย กับ เห็ดใหญ่
ที่อายุห่างกัน 10 ปีถ้วนนน

แถมเพลงเปิดตัวก็เรียกคะแนนจากป้าๆได้ดีเหลือเกิน
누난 너무 예뻐 แปลไทยได้ว่า พี่สาวน่ารักจังเลยคับ
(คลิกดู mv)
แอร๊ยยยย น้องเห็ดล่ะก้อออ
ส่วน mv เพลงนี้ ก็ทำเอาป้าใจละลายยยย
เห็ดน้อยน่าร้ากกกกกกกกก มาแรงแซงฮีชอล แซงน้องโจ
คลิกดู mv You're Like Oxygen (Love Like Oxygen)

ปล่อยชั้นเหอะ 555+

ไปและเอาผู้ชายมาแปะบล็อกสวยๆขำๆเฉยๆ
ไม้ยมกเยอะจริง

9.23.2008

คืนนี้แนนไปญี่ปุ่น
ก็แน่ล่ะว่าต้องใจหาย
และหลายใจ
ใจนึงก็ดีใจกะเพื่อน อยากให้ไปญี่ปุ่น
อีกใจก็ไม่อยากให้ไป ตั้งปีนึง
ก็นั่งคิดไปว่าแค่ปีเดียว

ปีเดียวมันเร็วจริงๆแหละ
ดูดิตอนนี้จะปลายปีอีกแล้ว
หมดไปเทอมนึงแล้ว
แก่ขึ้นเรื่อยๆ
แต่ดันไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ปี 4 เลย
(ไม่ใช่เพราะเตี้ย)

นั่งรถกลับบ้าน ก็นั่งคิดไปคิดมา
จุดที่คนเราเจอกัน
มันก็คือจุดเดียวที่คนเราจากกันนั่นแหละ
สมมติ นัดเพื่อนที่บีทีเอส
เวลากลับ แยกย้ายกัน
มันก็ต้องลากันตรงนี้อยู่ดี
ฟังดูเป็นปรัชญายังไงไม่รู้
หรือเราคิดไปเองวะ

เอาเหอะ สอบเสร็จแล้ว เหลือแต่งาน
เลยทำให้ยังรู้สึกค้างคา ไม่ชอบเลย

ในที่สุดก็กลับมาอัพบล็อกอีกรอบจนได้
หลังจากหายไปห้าเดือนกว่า 555+
และก็มีแนวโน้มว่าจะหายไปอีก
แต่ก็อยากจะเขียนให้มันเป็นกิจจะลักษณะ(เขียนไงวะ) กว่านี้

จบดื้อๆ

4.15.2008

สงกรานต์ในมุมมองของปณิธาน

ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ
ปีนี้ตัดสินใจเล่นสงกรานต์ หลังจากเก็บตัวไปหลายปี
และสังเกตอะไรบางอย่างได้ เลยมาเขียนเก็บไว้

1.ทำไมต้องสาดน้ำใส่รถ
จุดประสงค์ของการเล่นน้ำสงกรานต์ คือการสาดน้ำใส่สิ่งมีชีวิตไม่ใช่เหรอ
ประเด็นคือสาดแล้วมันต้องเปียก ต้องมีการโต้กลับ มี reaction
แต่ว่าก็ยังมีผู้เล่นสงกรานต์หลายคนที่สาดน้ำใส่สิ่งที่ไม่มีชีวิต
เ่ช่น รถยนต์ ฟอร์เอ็กแซมเปิ้ล ก็ไม่รู้นะว่าสาดทำไม
รถมันไม่รู้สึกอะไรหรอก คนในรถก็ไม่ได้เปียกด้วย
หรือเขาแอบหวังว่าน้ำจะซึมผ่านกระจกรถมาได้ก็ไม่รู้เหมือนกัน
คือเราเห็นว่ามันเปลืองน้ำโดยใช่เหตุน่ะ
ถ้าจะสาดน้ำใส่รถ ก็มาล้างรถให้ซะเลยดีกว่า

2.ดินสอพองมาสค์หน้า
เล่นสงกรานต์ก็ต้องมีประแป้ง แป้งที่นิยมใช้กันก็ทำมาจากดินสอพอง
หลายคนสนุกสนานกับการเล่นน้ำ แต่กลับบ้านมาพบว่าสิวขึ้น หน้าแหก
ถ้าอยากเล่นสงกรานต์แบบใส่ใจสุขภาพผิว (ทั้งของตัวเองและคนอื่น)
ก็เอาน้ำมะนาว น้ำสะอาด และก็ดินสอพอง มาผสมกันก่อน
แล้วค่อยไปประแป้งคนอื่น จะเป็นการมาสค์หน้าไปในตัว
ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีล้างออก (โดนคนอื่นสาดนั่นแหละ)
มาสค์หน้า on the move ของจริง
ป.ล.สูตรดินสอพองผสมน้ำมะนาวเหมาะกับคนหน้ามันนะจ๊ะ

3.ควรสาดให้แม่นยำและมีเป้าหมายแน่นอน
เห็นหลายคนเลยอ่ะ (ตัวเราเองด้วย) เล็งไว้แล้วว่าจะสาดใคร
แต่สาดไปแล้วมันไม่โดน สาดใส่อากาศซะงั้น แห้วมากๆ
หรืออีกกรณีหนึ่ง เห็นคนอื่นเค้าสาดกันประหนึ่งว่าน้ำเป็นของฟรี
ก็สาดมั่ง แต่สาดไปงั้นแหละ ไม่มีเป้าหมาย ไม่ได้เล็งไว้
และการทำแบบนี้มันก็มักจะไม่มีการสาดตอบรับหรอก
มันเปลืองน้ำว่ะค่ะ

4.การเลือกที่เล่นสงกรานต์
ระหว่างนั่งรถเข้ากรุง เห็นคนหลายกลุ่ม ตั้งฐานสาดน้ำอยู่ริมถนน
ถนนที่ว่าคือทางหลวง ที่มีรถเล่นสงกรานต์น้อยมากๆ
เห็นแล้วสงสารอ่ะ คือจะสนุกไหมเนี่ย
ต้องรอจนตัวแห้งเลยมั้ง กว่าจะได้สาดน้ำำกะเค้ามั่ง

คิดๆดูแล้ววันสงกรานต์นี่ก็แปลกดีนะ
เป็นวันที่สาดน้ำใส่คนไม่รู้จักได้เต็มที่
โดยไม่โดนด่าเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล

ขอจบการรายงานเพียงเท่านี้ สวัสดีค่ะ

4.06.2008

summer'08

หายไปนานร่วมเดือน ในที่สุดก็เลิกขี้เกียจ และได้ฤกษ์อัพบล็อกอีกครั้ง
อัพครั้งล่าสุดก่อนจะหนีหายไปฟิตสอบไฟนอล (ก็ยังออนเอ็มอยู่ดี)
วันนี้ดิชั้นกลับมาแล้ว ทั้งที่ไม่มีใครเรียกร้องให้อัพ

ปิดเทอมนี้ดิชั้นไม่ได้กลิ้งเกลือกอยู่บ้านตามปกติ
ดิชั้น
....
...............
ดิชั้นฝึกงานค่ะคุณ
ที่คณะบังคับฝึกเหรอ....ก็ไม่
อยากได้ประสบการณ์ใช่มั้ย....เปล่าอ่ะ
แล้วฝึกไปทำแมวอะไร ทำไมไม่นอนอ้วนอยู่บ้านซะ
คำตอบจากใจจริง คือ จะเอาเงิน เอาไปเ็ป็นกองทุน
กองทุนเที่ยวเที่ยวเที่ยวหลังเรียนจบปริญญาตรีอักษรศาสตรบัณฑิต
หมายใจไว้ว่าสอบไฟนอลเสร็จ ก็จะออกนอกประเทศไปสักสองเดือน
แล้วก็กลับมาเรียนต่อโท และรับปริญญา
เนี่ยแหละการวางแผนชีวิตของดิชั้น ฟังดูดีมั้ยเนี่ย 555+

ดิชั้นฝึกงานที่บริษัทที่ผลิตซันซิล ไอติมวอลล์ ซันไลต์ ฯลฯ
อยู่แผนกสื่อสารภายใน หน้าที่ประจำคือแปล หา+เขียนบทความ
ทำโปสเตอร์ ทำป้ายในphotoshop และงานเล็กๆน้อยๆตามแต่จะสั่ง
ฝึกมา 3 สัปดาห์ ก็เริ่มคิดอะไรได้หลายๆอย่าง
แต่ยังไม่ชัดมากพอที่จะเอามาเขียนได้

ปิดเทอมนี้ดิชั้นยังไปทำอะไรบางอย่างมาด้วย
บางอย่างที่ไม่เคยคิดว่าีผู้หญิงอย่างดิชั้นจะสนใจทำในชีวิตนี้
นั่นคือประกวดเขียนแผนธุรกิจกับธนาคารHSBC
ที่เรียกกันว่า HSBC Young Entrepreneur Awards
ทำร่วมกับอรุชและโฮม (ที่ยิ้มตลอดเวลา)
ไม่ได้ช่วยคิดธุรกิจอะไรกะเค้าหรอกนะ แต่เป็นคนแปลให้
เพราะต้องส่งเอกสารเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ
และแผนธุรกิจของทีมเราก็ได้ผ่านเข้ารอบ 2 และได้ไปpresent
ต่อหน้ากรรมการทั้งหลายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี่เอง
เราเป็นทีมสุดท้าย การpresentผ่านไปอย่างติดๆขัดๆเล็กน้อย
ผลปรากฏว่า ทีมเราตกรอบ
ไม่เสียใจ กลับกัน เราออกจะภูมิใจด้วยซ้ำที่มาถึงจุดนี้ได้
จากร้อยกว่าทีม จนได้เป็น 1 ใน 12 ทีมที่เข้ารอบ
ทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีความรู้เรื่องธุรกิจอยู่ในหัวเลย
เราได้เห็นว่า ถ้าจะทำ ก็ทำได้ แต่ต้องจริงจังมากกว่านี้ ทุ่มเทมากกว่านี้
ขอบคุณอรุชและโฮมด้วย ที่ชวนร่วมทีม
อย่างน้อยก็ได้ลองดูสักตั้งล่ะเนอะ

ฤดูร้อนปีนี้คงจะหมดไปกับการฝึกงาน
ฤดูร้อนปีหน้า จะต้องหมดไปกับการเที่ยว

สุขสันต์วันสงกรานต์ล่วงหน้าหลายๆวันค่ะทุกคน

2.22.2008

I don't believe in รถป๊อป

รู้สึกว่ารถป๊อปเดี๋ยวนี้เชื่อไม่ค่อยได้ เลยพยายามหลีกเลี่ยง
ยอมเดินจากบีีทีเอสไปคณะ ถึงแม้จะเห็นๆอยู่ว่ารถป๊อปจอดรออยู่
ไม่อ่ะ ชั้นไม่ขึ้น ชั้นรู้ดีว่าเมื่อขึ้นไปแล้วจะเจอกับอะไรบ้าง
อย่าคิดว่าสีชมพูหวานแหววจะล่อลวงให้ชั้นตายใจได้
ว่าแล้วก็เดินตากแดดต่อไป

เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหากหลงกลรถหวานเย็น:
(หมายเหตุ ไม่ได้ขึ้นหน้าลิโด้ ขึ้นตรงอังรี แต่ที่ไหนก็เหมือนกันแหละ)
เดี๋ยวนี้การขึ้นรถป๊อปตรงอังรีไม่ได้ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น
อย่าคิดว่าคนจะน้อย อย่าคิดว่าจะได้ที่นั่ง หากคุณไม่ได้เป็นคนแรกของแถว
คนจะเต็มรถป๊อปหวานเย็นตั้งแต่ป้ายอังรี พอไปถึงสยาม
เรื่องมหัศจรรย์จะเกิดขึ้น รถหวานเย็นจะกลายเป็นกล่องวิเศษ
สามารถจุคนได้อีกเรื่อยๆ จนกระทั่งหน้าแนบกระจกรถ
และด้วยเหตุนี้คุณจะโดนบีบบังคับให้ถอยหลังสู่มุมมืดของรถ
เมื่อผ่านพ้นสี่แยกปทุมวันที่โล้งงงงงโล่งงงงงงงงงไปแล้วสักพักก็ถึงมหาลัย
คุณจะซวยมากหากเรียนคณะสถาปัตย์หรืออักษรแล้วโดนบีบไปอยู่ข้างหลัง
คุณจะซวยกว่านั้นหากคุณเป็นนิสิตหญิง
นึกภาพสิ
"ขอโทษค่ะ ขอทางหน่อยค่ะ" แล้วคุณก็ต้องกลั้นใจเดินเบียดเสียดกับฝูงชนออกมา
ฝูงชนนั้นมักมีนิสิตชายรวมอยู่ด้วยมากพอสมควร
เขาเหล่านั้นมักหันหลัง และคุณมักต้องเดินแบบหันข้างเพื่อให้ง่ายต่อการเดินออกมา
คิดสิมันจะเกิดอะไรขึ้น
แล้วนึกสิ
เลิกเรียนตอนเที่ยง รอรถป๊อปกับเพื่อนสาว หัวเราะคิกคัก หมายใจว่าขึ้นไปได้นั่งแน่ๆ
แต่ รถแน่นมาก และมีนิสิตชายจำนวนมากอยู่บนรถ นิสิตชายเหล่านั้นส่วนใหญ่อยู่วิศวฯ
คุณและเพื่อนขึ้นไปอย่างกระอักกระอ่วนใจ
รถจอดที่ป้ายต่อไป...คณะวิศวกรรมศาสตร์
นิสิตชายเหล่านั้นเดินหันข้างเบียดเสียดผ่านคุณและเพื่อน ซึ่งยืนหันหลังให้
คิดสิ จะเกิดอะไรขึ้น

เท่านี้ยังไม่พอ เหตุการณ์นี้เพิ่งเิกิดขึ้นมาหมาดๆ
นางสาวต. และนางสาวน. ขึ้นรถป๊อปตอนบ่ายโมงนิดๆ
รถโล่งพอสมควร ได้นั่ง แต่ไม่ได้นั่งด้วยกัน ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวคนก็ลงศาลาพระเกี้ยว
ปรากฏว่า "สาย1 ไปขึ้นคันหลังนะคะ"
พอลงมา ไหนคันหลังล่ะวะ ไหนล่ะ ไหนยยยยยย์
พอรถคันหลังมา คนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ก็เดินกันเป็นหมู่คณะไปรอขึ้น
นางสาวต. และนางสาว น. เดินรั้งท้าย และแน่นอน ขึ้นไปก็อดนั่งแล้ว
ชั้นไม่เชื่อใจรถป๊อป

ชั้นไม่เชื่อใจรถป๊อป!

2.20.2008

503

503 คือห้องเรียนรวมของคณะอักษรศาสตร์
ทุกคนจะได้เรียนวิชาพื้นฐานคณะรวมกันในห้องนี้อย่างน้อยๆก็ 3 ปี
ปีหนึ่งก็เรียนบ่อยหน่อย พอชั้นปียิ่งสูงก็ยิ่งห่างจากห้องนี้ไปเรื่อยๆ

503 คือห้องเรียนที่นิสิตอักษรผูกพัน และห้องเรียนที่ผูกนิสิตเข้าด้วยกัน
จะมีห้องไหนในตึกบรม ที่กว้างขวางพอให้เราอยู่รวมกันได้ 300 กว่าคน
ปี1 อาจจะยังไม่รู้สึกว่าห้องนี้สำคัญนัก เพราะเรียนทุกวัน
ปี 2 แยกเอก เริ่มห่างจากเพื่อน
503 คือสิ่งที่เชื่อมเราไว้ เวลาเรียนห้องรวมทีไร ทุกคนจะดีใจที่ได้เจอเพื่อน
ได้อยู่รวมกันครบกลุ่ม เสียงคุยกันก็เลยดังเป็นพิเศษ
ปี 3 ซึ่งก็คือจุดที่เรายืนอยู่ และกำลังจะเดินจากมา
วันนี้เรียนรวมในห้อง 503 เป็นครั้งสุดท้าย
ตอนนั่งเรียนก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่พอเดินออกมา ใจหายอย่างบอกไม่ถูก
จำได้ว่าเข้าห้องนี้ครั้งแรกตอนปฐมนิเทศคณะ
ครั้งสุดท้ายเรียน thai pro writ
เพื่อนที่นั่งด้วยก็กลุ่มเดิม นั่งฝั่งเดิม และแทบจะแถวเดิม

เรียนในห้องนี้สนุกดี มีอะไรหลายอย่างที่ไม่เหมือนการเรียนในห้องเล็ก
กินขนม นอนหลับ ยิ่งตอนเรียน intro dram arts ยิ่งสนุก
อาจารย์เปิดหนังให้ดู ก็ดูไป กินขนมไป มีความสุขเหลือเกิน

วันผ่านวันยิ่งย้ำว่าปีสุดท้ายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
แต่เรายังไม่อยากเดินออกจากห้อง 503 อาคารบรมราชกุมารี

- 5 0 3 -

2.14.2008

San Valentino

แปลกไหมถ้าจะบอกว่าเรารู้สึกเฉยๆกับวันวาเลนไทน์
จริงๆแล้วเราคิดว่าวันนี้เป็นวันที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งอย่างบอกไม่ถูก
ทำไมน่ะเหรอ
เดินไปไหนก็มีแต่คนเดินถือดอกไม้
ไม่รู้ทำไมต้องให้ดอกไม้เพื่อแสดงความรัก
ใครๆก็รู้ว่าดอกไม้อยู่ไ้ด้ชั่วคราว
เพราะฉะนั้นการให้ดอกไม้ในวันแห่งความรักจึงเป็นเรื่องที่ขัดๆกัน
หรือไม่จริง? หรือเราเรียนRomantic Poetry มากไป?
(Romantic ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงโรแมนติครักๆใคร่ๆ แต่หมายถึง
ยุคRomantic ซึ่งเป็นยุคที่เชื่อความรู้สึกและจินตนาการมากกว่าเหตุผล)

อีกเรื่อง วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่นักบุญ Saint Valentine เสียชีวิต
เสียชีวิตเพราะอะไร?
สมัยโบราณ จักรพรรดิโรมันห้ามไม่ให้ชายหนุ่มแต่งงาน เพราะจะให้ไปเป็นทหาร
คอยปกป้องกรุงโรม แต่นักบุญ Valentine แอบทำพิธีแต่งงานให้กับคู่รักอย่างลับๆ
แล้วถูกจับได้ เลยโดนเอาตัวไปขัง แล้วก็เสียชีิวิต (เพื่อนเล่าให้ฟังอีกที)
ทำไมคนเราต้องเฉลิมฉลองความตายของเขาด้วยล่ะ?

ตอนเด็กๆก็ตื่นเต้นดี๊ด๊าอยู่หรอก ซื้อดอกไม้ เขียนการ์ด สารพัด - -
แต่พอโตขึ้นก็เริ่มเห็นว่าวันนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเมื่อวาน หรือวันพรุ่งนี้
ไม่มีความสำคัญอะไร นอกจากว่ามีสอบแบคแอม
แ้ล้วเรานะ สุดแสนจะไ่ม่เข้าใจพวกที่เสียเงินซื้อดอกไม้เป็นพันๆ
ซื้อมาแล้วก็ต้องทิ้งอยู่ดี เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม
ถ้ามีผู้ชายทุ่มเงินขนาดนี้เพื่อซื้อช่อดอกไม้ให้
ก็รู้ไว้เลยว่าตานี่ใช้เงินไม่เป็น มีเงินคับ แ่ต่คิดไม่เป็นคับ รับรักผมมั้ยคับ

ขึ้นชื่อว่าวันแห่งความรัก ไม่จำเป็นต้องเป็นวันที่ 14 กุมภาวันเดียว

ไปทำรายงานต่อดีกว่า ฟิ้ววววววววววววววว~

2.02.2008

Monday's Child & SJ

Monday's child is fair of face.
Tuesday's child is full of grace.
Wednesday's child is full of woe.
Thursday's child has far to go.
Friday's child is loving and giving.
Saturday's child works hard for a living,
But the child who is born on the Sabbath Day
Is bonny and blithe and good and gay.

source:http://en.wikipedia.org/wiki/Monday's_Child


I am a Monday's child. So I am fair of face :)
Thanks for all birthday wishes. Those who don't remember my birthday, you'll be revenged sevenfold! Haha I'm just kidding. It's okay not to remember someone's birthday, not a big deal.
But I like to remember people's birthday. It's my way of showing them that I care.
It's fun!

วิดีโอที่โพสไว้ตัดตอนมาจากรายการ Exploration of Human Body ที่ Super Junior ไปออก
รายการนี้สนุกมากๆ นอกจากจะเพลิดเพลินกับการนั่งดูผู้ชายหล่อคุณภาพดี 13 คน แล้วยังได้ความรู้ด้วย
ในวิดีโอคนที่เต้นมีซีวอน (ที่โฆษณาเทวลฟ์พลัส) ฮันเกิง (ผมทอง) ชินดง (ตุ้ยนุ้ย) และก็ฮีชอล (คนที่ใส่รองเท้าดำ เราชอบคนนี้) เต้นเพลง Tell Me ของวง Wonder Girls
น่ารักอ่ะ ทีแรกเราไม่ชอบSJเลยนะ เรียกว่าวงโต๊ะจีนด้วยซ้ำ แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร เพราะหน้าเหมือนกันหมดเลย แต่ก็ตาสว่างแล้ว SJ ไม่ใช่วงที่ดีแต่หล่อ เก๊กไปวันๆอย่างที่เราเคยคิด แต่เค้า่เต้นได้ ร้องเพลงได้ มีความสามารถจริงๆ ไม่เหมือนวงของไทยที่ทำเลียนแบบ หล่ออย่างเดียว อย่างอื่นไม่ได้เรื่อง
บางทีเราก็ต้องเปิดหูเปิดตาเปิดใจซะบ้าง ไม่งั้นจะพลาดอะไรดีๆไปเยอะ



1.26.2008

nostalgia

ช่วงนี้นึกถึงสมัยเรียนมัธยมบ่อยมาก อาจเป็นเพราะยังอารมณ์ค้างจากการไปเจอเพื่อนๆเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
วันนี้ได้กลับมาบ้าน เลยไปขุดหาสมบัติเก่าๆออกมาดู เจอหนังสือเรียนสมัยป.4 พบว่าลายมือห่วยแตกมาก
ตอนป.4 ถักเปียสองข้าง ผูกโบสีเขียว โอ้ยน่ารักน่าชัง 555+ เสียดายไม่ค่อยมีรูปสมัยประถม
นอกจากจะเจอสมบัติเก่าเก็บจากป.4 ก็ัเจอเฟรนด์ชิป3เล่มจากตอนจบม.3 กับม.6 เล่มม.3 เพื่อนๆมักจะเขียนว่า
"ขอบใจที่ช่วยแปลอังกฤษให้" "เตี้ยแต่สมองดี" ส่วนเล่ม ม.6 มีคนเขียนให้ไม่กี่คน แต่90% เขียนทำนองว่า แกเป็นคนน่ารัก ใช้อะไรก็ทำให้ทุกอย่างตั้งแต่นวดยันเกาหลัง - - ตอนนั้นคงไม่รู้จักการปฏิเสธคนอื่นซักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว
อ่านๆไปก็ขำ ขำตัวเอง ขำเพื่อน ช่างไร้เดียงสาอะไรขนาดนั้น 5-6 ปีที่ผ่านมาทุกคน รวมทั้งเราเองก็โตขึ้น เปลี่ยนไป แต่มีบางอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่ม.ต้น จนถึงทุกวันนี้...ไม่พูดละกันว่าคืออะไร
นึกถึงอดีตทีไรใจหายทุกครั้ง เวลาผ่านไปเร็วมาก เราก็โตขึ้นเรื่อยๆ (แม้ตัวจะหยุดโตแล้ว) ยิ่งเดินห่างจากจุดเริ่มต้นไปเรื่อยๆ ยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ วงสังคมก็ยิ่งกว้างขึ้น รู้จักคนมากขึ้น มีเพื่อนเพิ่มขึ้น ก็เลยห่างจากเพื่อนที่มีมาตั้งแต่แรกเริ่มไปเรื่อยๆ (งงไหม) แต่เราโชคดีมากๆ ที่ีเพื่อน"จากจุดเริ่มต้น" ยังไม่หายไปจากชีวิต
ไม่รู้หรอกว่าประเด็นที่อยากจะบอกคืออะไร แต่เจอสมบัติเก่าเก็บแล้วความรู้สึกมันเอ่อล้นออกมาเต็มไปหมด
อยากจะระบายออกมาด้วยการเขียน ซึ่งก็รู้ว่าทำได้ไม่ดีเท่าไหร่

ยืมหนังสือเรื่อง The Growing Pains of Adrian Mole จากห้องสมุดคณะมาอ่าน แล้วได้แรงบันดาลใจจากสไตล์แบบการเขียนบันทึกมาจากเรื่องนี้ เลยอยากจะลองอะไรซักหน่อย
ต่อไปนี้จะเป็นการลองของ

26th Jan, 08.
I spent last night at my brother's. We watched three movies together; Shrek 3, Chuck and Larry (these two were hilarious), and Zodiac. Zodiac is a freakishly long, and probably the most boring movie EVER! It is about a serial killer and a cartoonist (Jake Gyllenhall, HOT) who tries to find out who the killer is. The movie is actually based on a true story. Anyway, after wasting almost 3 precious hours of my life, I didn't get to know who the killer was. So, you kids just remember to NEVER make the same mistake by watching this movie.

เทอมหน้าอยากลง Creative Writing ที่ต้องเขียนเรื่องสั้นส่ง 2 เรื่อง เลยลองดูนิดนึง
จบห้วนๆ

1.20.2008

Saturday Night

เมื่อคืนไปกินข้าวกับเพื่อนม.ต้นจำนวน 20 กว่าคนมา
จะเรียกว่าไปกินข้าวก็ไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะกินข้าวนิดเดียว
นอกนั้นก็นั่งคุยนั่งเล่น ถ่ายรูป และนั่งดูคนอ้วก 555+
อยู่ในร้านนั้นประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าๆ
5ชั่วโมงนี่เป็นเวลาที่นานมากๆเลยนะ
แต่เรากลับรู้สึกว่ามันเร็วเหลือเกิน
เรามองดูเพื่อนแต่ละคน แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ไอ้บ้าพวกนี้ ตอนม.1 ยังเอายาหม่องมาป้ายตาเพื่อนอยู่เลย
แล้วดูตอนนี้สิ
พฤติกรรมไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่เลยนะ 55+
ดีใจที่ได้เจอเพื่อนๆ(เยอะมาก)อีกครั้ง
ก็เลยทำให้คิดถึงเรื่องเก่าๆสมัยเกรียน
บางเรื่องก็แบบ สาดด ทำไปได้ไงวะนั่น ไม่น่าเลย
มองย้อนไปก็ทำให้เห็นว่าตอนนี้เราต่างกับตอนนั้นมาก
แต่อีกมุมนึงก็ยังเหมือนเดิมอยู่ ฟังดูขัดๆกันนะ แต่มันจริง
แต่เราว่าทุกคนก็เป็นแบบนั้นแหละ เปลี่ยนไป แต่ก็ยังเหมือนเดิม

เปลี่ยนเรื่องซะอย่างนั้น

เทอมนี้เรียนไม่หนักเท่าไหร่ ไม่เหมือนเทอมที่แล้วที่อัดซะเต็มพิกัด
22 หน่วยกิต 10 วิชา มายก้อด ทำไปได้ ทำไปแล้วด้วย
เทอมนี้เหลือ 7 วิชา 19 หน่วยกิต ค่อยหายใจหายคอได้บ้าง
อิตาเลียนเทอมนี้เหมือนไม่ได้เรียนยังไงไม่รู้
เยอรมันก็เริ่มดีขึ้น เริ่มจับทางได้บ้างแล้ว
ลองวางแผนตารางเรียนเทอมหน้า
รู้สึกว่ามันว่างงงงงจัง ช่องว่างเต็มไปหมด
ตื่นเต้นปนใจหาย จะปี4แล้ว แต่ก็นะ
The end is just another beginning.


So, the end.


ยังไม่จบหรอก ต้องมีเพลงประจำวันก่อน (อีนี่เพ้อนะเนี่ย)

I'm taking you with me anywhere that I could ever want to be.
For the rest of my life, I want you there with me.
If there ever comes a time when I should have to leave,
I hope you know that I, I'm taking you with me.
(I'm taking you with me : Relient K)