6.26.2007

One-sided, unconditional love

ไปได้กลอนแต่งเองที่ดีมากๆมาจากบล็อกนี้ เป็นของรุ่นพี่อักษรฯคนนึง
ที่เราไม่รู้จัก แต่ได้ไปอ่านบล็อกของเ้ค้าโดยบังเอิญ และโชคดีมากๆที่ได้อ่าน

I’m letting you go now.
I’m letting you go.

I’ve clung to you for so long,
now I release you from my mind,
Though my love for you is ever strong,
Though you’re one of a kind.

I wish you happiness life can give,
peace of mind and mind of peace,
And more and more should you receive,
from others who would never cease,
to give you love.

I can never hold another,
the way I have held you.

nor gaze upon another,

for all I see is you.

You’re in everything I do-

though you’re not at all aware

that you’re the only one I care.


I will invest all my life,
my joy, sorrow, hope and sweat,
in oeuvre for others, though this strife-
slowly turns my heart… cold dead.

Do not ask me, years ahead,
why I’m still on my own,
my life without you, years ahead,
means walking all alone.


Letting go of your hand,
I wish that it would be-
softly in that of the man,
who would forever be,
worthy of your affection,
and of mine.
You see,

I’m letting you go now.
I’m letting you go.

If love means letting go,
Mine will grow deeper, deeper still,


Life’s rippling tide can only show,

what time can never, ever kill.


6.22.2007

japanese story

ตอนอยู่ม.ปลาย นั่งรถไฟฉึกฉักปู๊นปู๊นไปเรียนทุกวัน
เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่ไปเรียนในตัวจังหวัด
จริงๆแล้วจะนั่งรถตู้ก็ได้ แต่มันแพง ซื้อตั๋วรถไฟแบบเดือน
เดือนละ 192 บาท นั่งกี่รอบก็ได้ คุ้มกว่ากันแยะ
ได้เจอเพื่อนต่างโรงเรียน หรือไม่ก็เพื่อนเก่าสมัยประถมด้วย
เรามีความทรงจำเกี่ยวกะรถไฟมากมาย
แต่ที่ไม่เค้ยไม่เคยลืมเลย ก็มีอยู่เรื่องนึง
แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับผู้ชาย 555+

รถไฟตอนเย็นที่เรานั่งกลับบ้าน เป็นรถไฟกรุงเทพ-อรัญประเทศ
จะมีันักท่องเที่ยวต่างชาตินั่งมาบ่อยๆ หล่อบ้างไม่หล่อบ้าง
บางทีเรากะเพื่อนก็เข้าไปคุยด้วย (ผู้หญิงก็คุยนะ) สนุกดี
วันนึง ขึ้นรถไป สายตาเราก็เหลือบไปเห็นเป้าหมาย
ชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างผอมสูง นั่งอยู่คนเดียว ไม่ใช่คนไทยแน่นอน
สะกิดเพื่อน "เฮ้ย ดูดิ น่ารักว่ะ"
อืม ใช่ กุหื่นแต่เด็กๆและล่ะ คงไม่แปลกใจนะ
ก็ยกขบวนเพื่อนสาว 4-5 คน เดินเข้าไปทักทายเค้า
ได้ความว่าชื่อ Itaya Yohei อาุยุ 21 มั้ง จำไม่ได้ มาจาก Nigata
จะไปเที่ยวอรัญ ไปเขมรด้วยมั้งไม่แน่ใจ อีกอาทิตย์นึงจะกลับมาใหม่
คุยกันสนุกสนานเกือบชั่วโมง จนถึงสถานีที่เราต้องลง
ก็ได้อีเมล์ เบอร์โทรเค้ามา
(กรี๊ดดดดด น่ารักโคตรๆเหอะ)
เราก็จำอะไรได้ไม่มาก นอกจากครั้งสุดท้ายที่เจอเค้า
วันนั้นนัดเจอกันที่สถานีรถไฟใกล้บ้านเราตอน 5 โมง
แต่เราัติดธุระอะไรไม่รู้ เลยกลับไปไม่ทันเวลา
เราต้องรอรถไฟเที่ยว 6 โมง และจะถึงบ้านตอน 1 ทุ่ม
ก็คุยโทรศัพท์กัน Yohei บอกว่าจะรอเรา (กะเพื่อนๆด้วยนะ)
นั่งรถไฟกลับบ้านด้วยใจร้อนรุ่ม
รุ่ม
ร้อน
ร้อน
รุ่ม
เวลา 1 ชั่วโมงนี่มันนานจริงๆ
ลงรถไฟมาก็เห็นYoheiนั่งรออยู่
เรากะเพื่อนพาเค้าไปกินข้าวต้มหมู ที่ร้านรอนาน
(จริงๆ้ชื่อร้านอะไรไม่รู้ แต่เรียกงี้ เพราะมันรอนานจริงๆกว่าจะได้กิน
แต่ข้าวต้มหมูนี่ได้เร็วนะ เพราะเค้าทำไว้แล้ว)
he ก็ฟาดไปสองถ้วยรวดเดียวจบ บอกว่าอร่อยมากๆ
อ้อ ตอนที่เจอกันครั้งแรก เค้าให้หนังสือเรามาเล่มนึง
เป็นบทสนทนาสำหรับนักท่องเที่ยว เป็นภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น ไทย
เรายังเก็บไว้อยู่เลย

และครั้งสุดท้าย เค้าก็ซื้อหนังญี่ปุ่นเรื่อง waterboys มาให้เรา
บอกว่าเรื่องนี้ดีมากนะ อยากให้เราดู

หลังจากตอนนั้นก็ยังติดต่อกันมาเรื่อยๆ
เค้ากลับไปแล้วก็ยังคุยกัน
แล้วอยู่ๆเค้าก็หายไป 2-3ปีแล้วแหละ
บังเอิญเห็นกล่องหนัง waterboys แถวนี้
เลยนึกถึงเค้าขึ้นมา
คิดถึงจัง

ป.ล.ไม่ได้มีความรู้สึกรักข้ามขอบฟ้าอะไรแบบนั้นนะ
แค่รู้สึกดีเฉยๆ ป่านนี้heคงแต่งงานไปแล้วแหละ

6.20.2007

เรื่อยเปื่อย

ชีวิตปีสามของสาวอักษรมันหนักหนาอย่างนี้นี่เอง
.
.
.
เกิดมาไม่เคยเรียนเยอะขนาดนี้มาก่อน
เรียน 10 วิชา 22 หน่วยกิต

ศัตรู 10 ตัว มีดังนี้
1.
BASIC CONCEPTS OF COMPUTING วิชาบังคับของคณะ
2.
MYTHOLOGICAL BACKGROUND TO ENGLISH LITERATURE บังคับเอก
3.
BACKGROUND TO BRITISH LITERATURE บังคับเอก
4.
ENGLISH LETTER AND REPORT WRITING วิชาเลือกเอกสายทักษะ
5.
INTERMEDIATE TRANSLATION: ENGLISH-THAI เลือกเอกอีกเช่นกัน
6.
INTERMEDIATE TRANSLATION :THAI-ENGLISH นี่ก็ด้วย
7.
ACCELERATED GERMAN FOR BEGINNERS I นี่เรียนเป็น gen-lang
8.
ITALIAN READING AND LISTENING COMPREHENSION I บังคับโท
9.
ITALIAN ORAL AND WRITTEN EXPRESSION บังคับโท
10.
JEWELRY APPRECIATION gen-ed หมวดมนุษย์

ยิ่งไปกว่านั้น
ชั้นยังรับสอนพิเศษเด็กสาธิตจุฬาฯ ทุกวันพุธตอนเย็นอีก 1 ชั่วโมง
ไม่รู้ทำอะไรเกินตัวไปรึเปล่า แต่ก็จะทำให้ดีที่สุดล่ะเทอมนี้
ชั้นคงต้องกลายไปเป็นตัวเนิร์ดจริงๆซะแล้ว
จากที่เคยเป็นเจ้าแม่ msn ออนไลน์ตลอดเวลา คงต้องลาออกจากตำแหน่งแล้วล่ะ
มีเพื่อนคนนึงเคยบอกว่า ถ้าอยากจะคุยกะนังตอง ไม่ต้องโทรหามัน
ให้ออนเอ็มแทน ไม่เปลือง - -

เหนื่อยและเครียด
ช่วงนี้อาจจะเห็นชั้นนั่งเหม่อลอย หน้าดูว่างๆ จิตเลื่อนๆ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง
ไม่ต้องสงสัย นั่นแปลว่ากำลังเครียดอยู่

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย

มาบ่นพอเป็นพิธีค่ะ จบแล้วค่ะ สวัสดีทุกท่านค่ะ

6.18.2007

new blog!

storythai, bloggang, spaces, and blogspot...
อพยพมาหลายครั้ง หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย
บอกไว้ก่อนว่านี่คือบล็อกเรื่อยเปื่อยไปตามเรื่อง
จะหาสาระอันใดไม่มีหรอกนะ
ก่อนอื่น ขอประเดิมบล็อกใหม่ไฉไลกว่าเก่าด้วยเพลงๆนึง
ที่ครั้งนึงเคยโดนใจอย่างรุนแรง

"เจ้าไม้ขีดไฟก้านน้อยเดียวดาย แอบรักดอกทานตะวัน
แรกแย้มยามบานอวดแสงตะวัน ช่างงดงามเกินจะเอ่ย
ดอกเหลืองอำพันไม่หันมามอง แม้เหลียวมายังไม่เคย
ไม้ขีดเจ้าเอ๋ย เลยได้แต่ฝันข้างเดียว
ดอกไม้จะบานและหันไปตามแต่แสงแห่งดวงอาทิตย์

จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟขึ้นมา
เพียงปรารถนาให้มีลำแสงสีทอง
จุดตัวเองก็ยอมทันใด ให้ลุกเป็นไฟขึ้นมา
เพียงปรารถนาดอกทานตะวันหันมองสักครั้ง

เจ้าไม้ขีดไฟก้านน้อยเดียวดาย สาดแสงในใจไ่ม่นาน
ดอกเหลืองอำพันจึงหันมามอง และพบเพียงกองเถ้าถ่าน
เจ้าไม้ขีดไฟก้านน้อยเดียวดาย เพราะรักจริงใจอย่างนั้น
เพียงแค่เธอหัน เพียงแค่เธอมองก็พอ"

(ฟังได้ที่นี่)

ในตำนาน Greek mythology เล่ากำเนิดของดอกทานตะวันไว้โรแมนติคดี
ก็มี Apollo, God of Sun กับ Clytie ที่หลงรัก Apollo อย่างมาก
ทุกๆเช้า Apollo ก็จะขี่รถม้าขึ้นมาจากขอบฟ้า ก็คือเวลาพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง
ทุกๆเย็น ก็จะขี่รถม้าหายกลับเข้าไป Clytie ก็เฝ้าแต่รอให้ Apolloขี่รถม้าขึ้นมาจากขอบฟ้าอีก
แต่ Apollo ก็ไม่เคยสนใจเลย รักเค้าข้างเดียวว่างั้นเถอะ
จนวันนึง Apollo ก็สงสาร ดลบันดาลให้ Clytie กลายเป็นดอกไม้ ก็คือดอกทานตะวันนั่นเอง

ที่ดอกทานตะวันไม่หันมามองไม้ขีดไฟ ก็เป็นเพราะมัวแต่มองดู Apollo น่ะแหละ

เคยเป็นดอกทานตะวัน หรือไม้ขีดไฟกันบ้างรึเปล่า?